นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า เงินบาทไม่ได้แข็งค่าอย่างผิดปกติเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าราว 5% ขณะที่ค่าเงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่าขึ้นถึง 8% ซึ่งสะท้อนว่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคและไม่ได้แข็งค่ากว่า เป็นไปตามสถานการณ์ที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทุกสกุล
ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า เนื่องจากตัวเลขการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง หนี้สาธารณะก็อยู่ในระดับสูง รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาดการณ์ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสกุลดอลลาร์ลดลง
สำหรับความกังวลว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นไปถึง 30.00 บาท/ดอลลาร์ นายกรณ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยังติดตามดูแลมาโดยตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาดำเนินการในช่วงที่เงินบาทแข็งค่ามาก ซึ่งมองว่าธปท.ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว เพราะหากพิจารณาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศก็ยังมีการปรับเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของไทยไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งมากนัก
รมว.คลัง กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า ไตรมาส 2/53 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 7% ซึ่งน่าจะทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวเฉลี่ย 10% ถือว่าขยายตัวในระดับที่ดี แต่ทั้งนี้มองว่าครึ่งปีหลังยังมีความท้าทายอยู่บ้าง จากสัญญาณการส่งออกในเดือน ก.ค.53 ที่แม้จะเติบโตได้กว่า 20% เมื่อเทียบกับ ก.ค.52 แต่การเติบโตต่ำว่าเดือน มิ.ย.53 ทำให้ไม่แน่ใจว่าการส่งออกจะเริ่มมีทิศทางที่ชะลอลงแล้วหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม จากการนำเข้าที่ค่อนข้างสูงในเดือน ก.ค.53 ก็น่าจเป็นสัญญาณบวกให้เห็นว่าเริ่มมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และผลจากที่เดือนดังกล่าวไทยขาดดุลการค้าราว 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มองว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้กลับมามีทิศทางที่แข็งค่าลดลง