นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า สมาคมฯจำต้องร่วมมือกับชาวบ้านทั่วประเทศ เพื่อฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกมติ หรือคำสั่งของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สวล.) เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่กำหนด 11 ประเภทโครงการที่มีผลกระทบรุนแรง เพราะเห็นว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยชัดเจนเป็นการกระทำตามหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ถือแนวทางของเสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนทั่วประเทศที่มีมติให้มีโครงการหรือกิจกรรมประเภทรุนแรงเบื้องต้นตามรัฐธรรมนูญจำนวน 18 โครงการหรือมากกว่า ซึ่งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้สรุปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
"มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ดังกล่าว ถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายและความต้องการของประชาชน การลุกลี้ลุกลน เร่งรีบสรุปโครงการโดยไม่ฟังเสียงของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพียงเพื่อให้หน่วยงานรัฐใช้เป็นข้ออ้างในศาลเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเครื่องมือหลีกเลี่ยงการไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสองเท่านั้น"นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินคดีฟ้องร้องคดีมาบตาพุดร่วมกับชาวบ้าน 43 รายก่อนหน้านี้นั้น ในวันที่ 26 ส.ค.นี้เวลา 13.00 น. ศาลปกครองกลางมีหมายมายังผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องคดี รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด เพื่อให้ไปไต่สวนพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้จัดเตรียมข้อมูลไว้เพื่อปิดคดีในวันดังกล่าวแล้ว
พร้อมจะชี้ให้ศาลเห็นว่าปัญหาความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียงในอดีตมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร โดยจะแฉพฤติการณ์ของหน่วยงานรัฐและรัฐบาลให้ศาลเห็นว่าไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของชาวบ้านเลยและละเมิดกฎหมายอย่างไร
อีกทั้ง 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียงเหมาะสมที่จะเป็นโครงการประเภทรุนแรงตามที่ศาลปกครองชั้นต้นได้เคยมีคำสั่งไว้แล้วอย่างไร รวมทั้งการชี้ให้ถือบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2552 ไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค.52
"งานนี้ไม่จบกันง่าย ๆ เหมือนรัฐบาลคิด ต้องเป็นมหากาพย์แห่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาลนายทุนกันต่อไป"นายศรีสุวรรณ กล่าว