นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า การประชุมสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council — ABAC) ครั้งที่ 3 ประจำปี 2010 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 — 27 สิงหาคม 2553 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพนั้น มีนักธุรกิจจากประเทศสมาชิกเอเปคกว่า 150 ราย ที่เข้าร่วม ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ในไทย ซึ่งบีโอไอ จะใช้การประชุมดังกล่าวเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับบรรยากาศทางธุรกิจของไทย รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลเรื่องโอกาสและลู่ทางการลงทุน รวมถึงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย
การประชุมสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค เป็นการประชุมระดมความคิดเห็นของผู้แทนระดับสูงจากภาคเอกชน โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้ คือ “การมุ่งสู่การเป็นประชาคมเอเปคที่เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกภาคส่วน" (Working towards Sustainable Growth for All) ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่ง ทางเศรษฐกิจร่วมกัน และสร้างบรรยากาศการค้าและการลงทุนที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยให้นักธุรกิจทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านการค้าและการลงทุนของประเทศไทย
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2553 นักลงทุนจากประเทศสมาชิกเอเปคได้เข้ามาลงทุนในไทยรวมมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในไทย มีประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนในไทยมากที่สุด 43,355 ล้านบาท ตามด้วยสิงคโปร์ 8,479 ล้านบาท จีน 7,120 ล้านบาท ฮ่องกง 2,755 ล้านบาท และไต้หวัน มาเลเซีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ชาติละประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท
"ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจและทางการเมืองแล้ว โดยมีสัญญาณฟื้นตัวจากจีดีพีช่วง 6 เดือนซึ่งขยายตัวในระดับ 10.6 % สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2540 จึงมั่นใจว่าจากนี้ไปเศรษฐกิจของไทยจะเดินหน้าตามแผนที่รัฐบาลได้วางไว้ โดยบีโอไอจะเป็นหน่วยสำคัญที่ผลักดันการลงทุนให้เกิดขึ้นตามเป้าหมาย" เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ขณะที่ การลงทุนของภาคเอกชนในช่วง 7 เดือน (มกราคม — กรกฎาคม) ปี 2553 มีโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมจากบีโอไอหลายโครงการ อาทิ แคนาดอล กรุ๊ป ผู้ผลิตท่อขนส่งปิโตรเลียมสำหรับอุตสาหกรรมขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ ลงทุน 15,000 ล้านบาท ผลิตฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ ซึ่งสะท้อนให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่า ไทยยังเป็นประเทศที่เหมาะสมในการเข้ามาลงทุนและตอกย้ำความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ ที่มีต่อประเทศไทยไม่เปลี่ยนแปลง