นายสุพจน์ วงศ์จิรัฐิติกาล นายกสมาคมค้าข้าวไทย เปิดเผยว่า ไทยต้องเร่งพัฒนาหานวัตกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่าข้าวไทย โดยคาดว่าจะสามารถทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ 10-20% ของมูลค่าการส่งออกปัจจุบันที่ประมาณ 180,000-200,000 ล้านบาทต่อปี และต้องเน้นการส่งออกข้าวที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เน้นส่งออกข้าวคุณภาพต่ำแข่งกับเวียดนาม โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง หรือข้าวกล้องที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ข้าวดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากขึ้น รักษาคุณภาพให้ลูกค้าเชื่อมั่น เพราะข้าวหอมมะลิของเวียดนามเริ่มมีบ้างแล้ว
ด้านนายชาญชัย รักษ์ธนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ข้าวไทยที่ส่งออกในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นข้าวเกรดพรีเมี่ยม เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุม ข้าวพันธุ์ชัยนาท ที่นำไปทำข้าวนึ่ง รัฐบาลจึงต้องส่งเสริมการขายข้าวแบบนี้ให้มากขึ้น เน้นมูลค่าไม่ใช่ปริมาณ โดยการแนะนำให้ผู้บริโภครู้จักการบริโภค รวมถึงเปลี่ยนคู่แข่งมาเป็นพันธมิตรทางการค้า โดยอาเซียนควรจะรวมตัวกันในประเทศผู้ปลูกข้าว ทำให้อาเซียนเป็นแหล่งอาหารของโลก เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายในประเทศด้วย
ขณะที่นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า ขณะนี้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ มีไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ชาวนาต้องไปซื้อข้าวถุงขาวมาใช้แทน ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้รับรองจากกรมการข้าว ทำให้ข้าวที่ปลูกได้มีคุณภาพต่ำ จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งพัฒนาพันธุ์ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร และในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูทำงานควรหาพืชผลอื่นๆ ที่ขายได้มีตลาด มาให้เพาะปลูกทดแทน การทำนาจะได้ลดเหลือเพียง 2 ครั้ง ทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้พัก มากขึ้น ข้าวที่ปลูกได้ก็จะมีคุณภาพดี เป็นต้น