นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "การพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการกับอนาคตประเทศไทย" โดยให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมีการจัดทำระบบสวัสดิการสังคมนั้น เนื่องมาจากในปัจจุบันความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจโลกยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องวางกลไกเพื่อรองรับประชาชนอย่างยั่งยืน เพราะจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจประเทศไทยปี 40 ก็อาจจะได้รับผลกระทบบางประเทศ แต่ตอนปี 51 ก็เกิดผลกระทบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีคาดการณ์ว่าในอนาคตอาจจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน จึงจำเป็นต้องวางพื้นฐาน
นอกจากนี้ การจัดทำนโยบายเฉพาะกิจ หรือนโยบายรูปแบบประชานิยมคงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุมและยั่งยืนได้ จึงจำเป็นต้องมีการทำหลักประกันให้กับประชาชน เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนเบี้ยยังชีพ แต่มองว่าระบบที่มีความเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ควรเน้นเรื่องกองทุนเงินออมแห่งชาติ โดยมั่นใจว่าจะมีการเสนอให้สภาในสมัยประชุมนี้ รวมถึงจะมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชาวนา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไปด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวในระหว่างการประชุมว่า ไม่อยากใช้คำว่า รัฐสวัสดิการ เพราะ ถือว่ารัฐบาลเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมด แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องการทำ คือ การจัดระบบสวัสดิการสังคมโดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
โดยรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะจัดทำระบบรัฐสวัสดิการให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 6 ปีข้างหน้า คือปี 2559 โดยยืนยันว่าจะไม่ให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินการคลัง พร้อมทั้งจะไม่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสวัสดิการเอง
ทั้งนี้ มั่นใจว่าแนวความคิดเรื่องการจัดทำระบบสวัสดิการสังคมเป็นแนวคิดที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุดในขณะนี้
"ตั้งเป้าไว้ว่าระบบจะทำงานเป็นรูปธรรมในปี 2559 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งผมมั่นใจว่าหลักคิดตรงนี้ไม่ผิด และสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทยมากที่สุด"
ในส่วนของการจัดทำระบบสวัสดิการ จะมีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 เพื่อรองรับการเป็นระบบสวัสดิการที่ดีให้กับประชาชน