รมว.อุตสาหกรรม คาดหวังคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีมาบตาพุดวันที่ 2 ก.ย.นี้จะเป็นผลดีต่อการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด โดยบางส่วนจาก 76 โครงการที่ถูกสั่งชะลอสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนให้กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งได้ในช่วงต้นปีหน้า
"หากคำพิพากษาของศาลออกมาด้วยดี กระทรวงอุตสาหกรรมก็คาดหวังว่าโครงการลงทุนทั้ง 76 โครงการบางส่วนจะสามารถเดินหน้าได้ทันที เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถออกใบอนุญาตได้ทันที" นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้ ตนเองได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงฯ ไปดูว่าเมื่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกประกาศ 11 ประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบรุนแรงแล้ว หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้งได้ในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนกรณีที่ชาวมาบตาพุดเตรียมออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 29 ส.ค.นี้ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ โดยกระทรวงฯ พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการไว้บ้างแล้วคาดว่าจะสามารถทำความเข้าใจกับชาวบ้านได้
รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าตนเองจะนำคณะเดินทางไปโรดโชว์ที่เมืองกวางเจา ประเทศจีน เพื่อชักชวนนักธุรกิจจีนให้เข้ามาลงทุน ซึ่งจะเดินทางร่วมไปกับคณะของนายกรัฐมนตรีที่จะไปดูงานเวิลด์เอ็กซ์โปที่นครเซี่ยงไฮ้ด้วย
นอกจากนี้ ตนเองยังมีแผนเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นในกลางเดือน ก.ย.นี้ด้วย โดยนักธุรกิจญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องการออกประกาศประเภทกิจการรุนแรง ซึ่งตนเองจะได้นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติดังกล่าวไปชี้แจงให้ทราบด้วย
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาดูคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งหากผลออกมาในทางบวกจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น
ส่วนกรณีที่เงินบาทปรับตัวแข็งค่านั้น นายสันติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่กระทบการส่งออกมากนัก แต่ยอมรับว่ามีความเป็นห่วง เนื่องจากค่าบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรเข้าไปดูแลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
นายสันติ ยังกล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์จะขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าออกไปจนถึงสิ้นปีว่า คงทำได้ในเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและอยู่ในการควบคุมของกระทรวงฯ เท่านั้น เพราะสินค้าประเภทอื่นมีการปรับขึ้นราคาไปบ้างแล้ว