นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย แถลงว่า คณะทำงานฯเป็นห่วงการบริหารงานของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวถึง 7-7.5% สวนทางกับการประเมินของพรรคที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 4% กว่าๆ ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของสถาบันเศรษฐกิจโลก
อีกทั้งพรรคยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4/53 จะติดลบ เนื่องจากดัชนีการผลิตเพื่อการส่งออกในเดือน ก.ค.53 เพิ่มขึ้นเพียง 20% ลดลงจากเดือนมิ.ย.53 ที่เพิ่มขึ้น 49% ส่วนการส่งออกในเดือน ก.ค.53 มีมูลค่าลดลงจากเดือน มิ.ย.53 และจากข้อเท็จจริงยอดการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นบริษัทจากต่างประเทศ จึงไม่ใช่ผลประโยชน์ที่ไทยได้รับรายได้อย่างแท้จริง
อดีต รมว.คลัง ยังมองว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นก็ทำให้น่าเป็นห่วง หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 1.25% เป็น 1.75% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศอยู่ที่อัตราประมาณ 0.25% ทำให้มีเงินต่างประเทศไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นและเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น มีผลกระทบต่อราคาผลผลิตทางการเกษตร
และการขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้จะยิ่งเป็นการกดดันเงินในประเทศให้แข็งค่า ทำให้แก้ปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้ ยกเว้นจะใช้ได้เฉพาะในประเทศพม่าเท่านั้น เพราะไม่มีเงินไหลเข้าประเทศ
นอกจากนั้น ยังพบว่าในเดือน ส.ค.53 มีการปั่นหุ้น 3 ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงการปั่นหุ้นบมจ.ไทยคม (THCOM) และบริษัทสื่อสารที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมาขึ้น 200-300% เพราะมีการปล่อยข่าวจะต่อสัมปทานจาก 5 ปี เป็น 15 ปี และอีกไม่นานก็คงจะมีการเทขายหุ้นออกมา ซึ่งจะทำให้คนชั้นกลางที่เป็นนักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ได้รับความเสียหาย
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลเดินหน้าประกาศจัดทำรัฐสวัสดิการ ต้องใช้เงินกว่า 3 แสนล้านบาทส่วนใหญ่เป็นเงินจากการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ทำให้โอกาสที่จะเกิดหนี้ในภาครัฐจำนวนมาก เพราะจากปี 51 มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 37% ต่อจีดีพี แต่กำลังจะเพิ่มเป็น 47% ต่อจีดีพี วงเงินหนี้ฯจะพุ่งเป็น 4.7 ล้านล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ในอนาคตให้จับตาดูว่ารัฐบาลจะใช้เหตุผลใดในการหาทางขึ้นภาษี