ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุดซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า โดยเฟดคาดว่าภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงซบเซาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
"อัตราการขยายตัวของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปีนี้ชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนบ่งชี้ว่าจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะยังคงซบเซาต่อไปจนถึงไตรมาส 3" รายงานการประชุมของเฟดระบุ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า จีดีพีไตรมาส 2 ปี 2553 ขยายตัว 1.6% ซึ่งน้อยกว่าที่ประเมินไว้ครั้งก่อนว่าขยายตัว 2.4% และเป็นสถิติที่ขยายตัวรายไตรมาสที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จีดีพีไตรมาส 2 ที่ผ่านการทบทวนครั้งล่าสุดนี้ ขยายตัวได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า จะขยายตัวเพียง 1.4%
รายงานการประชุมของเฟดยังระบุด้วยว่า ตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และแม้ว่าบริษัทเอกชนเพิ่มการใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์สำนักงานและซอฟท์แวร์ แต่การตัดสินใจในการจัดซื้อก็ถูกเลื่อนออกไปในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะชะลอตัว
คณะกรรมการเฟดกล่าวว่า การลงทุนด้านการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์นอกกลุ่มที่อยู่อาศัยยังคงอ่อนแอ ขณะที่ตัวเลขการสร้างบ้านและยอดขายบ้านดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหมดอายุลง ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการเฟดจึงเห็นชอบในที่ประชุมครั้งล่าสุด ให้ใช้นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
เฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 2.551 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2552 โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้เม็ดเงินไหลออกจากระบบการเงินของสหรัฐ โดยเฟดได้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งสิ้น 14 ชุด จากทั้งหมดที่รัฐบาลนำออกจำหน่าย 25 ชุด ซึ่งพันธบัตรเหล่านี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในระหว่างเดือนส.ค.2557 จนถึงเดือนก.พ.2559
ทั้งนี้ เฟดวางแผนที่จะพยุงเม็ดเงินในพอร์ทฟอลิโอของเฟด หรือ System Open Market Account (SOMA) ให้อยู่ที่ระดับ 2.054 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยการนำรายได้จากตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) ไปซื้อพันธบัตร ซึ่งการเข้าซื้อพันธบัตรในครั้งนี้นับเป็นความพยายามครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปีของเฟด โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำนักข่าวซินหัวรายงาน