บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐมีกำไรรวมกัน 2.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2553 ซึ่งเป็นกำไรรายไตรมาสระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
ตัวเลขดังกล่าวนับว่าขยายตัวจากไตรมาส 2 ของปีที่แล้วมาก โดยในตอนนั้นธนาคารพาณิชย์และสถาบันเงินออมซึ่งได้รับการรับรองจาก FDIC มีตัวเลขขาดทุนสุทธิรวมกันถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์
"ตัวเลขดังกล่าวเป็นกำไรรายไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีสำหรับภาคการธนาคาร" เชียร์ลา ซี แบร์ ประธาน FDIC กล่าว "เกือบ 2 ใน 3 ของธนาคารมีรายได้ดีขึ้นเมื่อเทียบรายปี และหากสภาพเศรษฐกิจยังคงเป็นใจ สถาบันการเงินส่วนมากน่าจะยังคงมีกำไรและสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น"
"อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินยังต้องเผชิญความท้าทายต่างๆ อย่างเรื่องกำไรที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐานในอดีต รวมถึงจำนวนสถาบันการเงินที่ไม่มีกำไร ธนาคารที่มีปัญหาและล้มละลาย ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง" เธอกล่าว
FDIC เปิดเผยว่าจำนวนสถาบันการเงินที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นจาก 775 แห่ง เป็น 829 แห่งในไตรมาส 2 แต่มูลค่าสินทรัพย์ของสถาบันที่มีปัญหาลดลงจาก 4.31 แสนล้านดอลลาร์ เหลือ 4.03 แสนล้านดอลลาร์ และมีสถาบันการเงินที่ล้มละลาย 45 แห่ง
เมื่อปีที่แล้วมีสถาบันการเงินที่ล้มละลายและต้องปิดตัวลงจำนวน 140 แห่ง ซึ่งเป็นตัวเลขรายปีที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตสินเชื่อและเงินออมครั้งใหญ่
ทั้งนี้ FDIC เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรสในปี 2476 เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อระบบการธนาคารของประเทศ ทางหน่วยงานทำหน้าที่ประกันเงินฝากให้สถาบันการเงิน 7,830 แห่ง ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 13.2 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน