หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์ส รายงานโดยอ้างความคิดเห็นของ มาร์ค แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมูดีส์ อนาไลติกส์ ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐซึ่งยืนอยู่ที่ระดับ 9.6% ในเดือนส.ค.นั้น มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยครั้งใหญ่แล้วก็ตาม
แซนดีกล่าวว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐตกอยู่ในภาวะตึงตัวมาก และคาดว่าบริษัทเอกชนจะไม่เพิ่มการจ้างงานมากนัก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยลบที่ขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
"ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดแรงงานสหรัฐมีการจ้างงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของเรา แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย และสหรัฐคงต้องใช้เวลานานหลายปี หรืออาจจะถึง 10 ปี กว่าที่ตลาดแรงงานจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิมได้" แซนดีกล่าว
ลอสแองเจลิส ไทม์ส ระบุว่า กลุ่มนายจ้างหลักๆ รวมถึงบริษัทผลิตรถยนต์และบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ลดการจ้างงานลงอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ว่าเศรษฐกิจเริ่มดีดตัวขึ้นแล้ว แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็จะไม่จ้างงานเพิ่มขึ้นมากนักเนื่องจากต้องพิจารณาถึงเรื่องการลดต้นทุนในด้านต่างๆ รวมถึงต้นทุนการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้จำนวนคนว่างงานในสหรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากนั้น ก็ลังเลที่จะเพิ่มการจ้างงาน ในขณะที่หน่วยงานในภาครัฐก็พยายามหาทางที่จะเลิกจ้างข้าราชการ รวมถึงครู ตำรวจ และเจ้าหน้าที่งานสวัสดิการสังคม เพื่อที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณในองค์กรของตนเอง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากมูดีส์ อนาไลติกส์ มีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (3 ก.ย.) ที่ผ่านมาว่า อัตราว่างงานเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.6% จากระดับ 9.5% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มนายจ้างในสหรัฐยังคงลังเลที่จะจ้างงานท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังขาดเสถียรภาพ