รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้กระทรวงคมนาคมจะเสนอแนวทางและนโยบายการกู้เงิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,671 ล้านบาทจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบราง ตามแผนของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)
สำหรับเงินกู้ดังกล่าวมีอายุ 15 ปี ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี มีค่าธรรมเนียมเงินกู้ 0.5% ต่อปีของวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย และค่าธรรมเนียมการจัดการ 0.5% ต่อปีของวงเงิน และต้องจ่ายคืนเงินต้นเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐปีละ 2 ครั้ง โดยมีเงื่อนไขแลกกับการซื้อสินค้าจากจีนไม่ต่ำกว่า 50% ของวงเงินกู้
การกู้เงินครั้งนี้จะนี้จะนำไปปรับปรุงระบบรางของไทย ดังนี้ คือ 1.โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่เพื่อทดแทนรถจักร GE ที่มีอายุใช้งานมากกว่า 45 ปีจำนวน 50 คัน มูลค่าโครงการ 195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็น 6,562.25 ล้านบาท 2.โครงการปรับปรุงระบบรางสายประธานช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ มูลค่าโครงการ 132 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 4,428 ล้านบาท และ 3.โครงการปรับปรุงระบบรางสายประธาน ช่วงทุ่งสง-ชุมทางหาดใหญ่ มูลค่าโครงการ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2,680.8 ล้านบาท
นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์เสนอแนวทางชำระหนี้ค่าข้าวของรัสเซียที่ค้างมาตั้งแต่ปี 33 ใน 2 แนวทาง คือ ทางเลือกที่ 1 ขยายข้อตกลงออกไปอีก 5 ปีจนถึงวันที่ 21 ต.ค.56 มูลหนี้ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐและไม่คิดดอกเบี้ยช่วงขยายเวลา โดยสินค้าที่จะนำไปหักหนี้เป็นสินค้าตามรายการในข้อตกลงเดิม แต่หากถึงกำหนดและยังมียอดหนี้เหลืออยู่ก็จะชำระส่วนที่เหลือเป็นเงินสดให้ และและทางเลือกที่ 2 รัสเซียจะชำระหนี้ค่าข้าวเฉพาะส่วนเงินต้นทั้งหมดเป็นเงินสดจำนวน 36,441,731.98 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 30 วัน
ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะขอความเห็นชอบแผนแนวทางการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 6 แนวทาง โดยเฉพาะประเด็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านคมนาคม จัดเส้นทางคมนาคม และจัดการด้านยานพาหนะ ถนนกว้างไม่เกิน 6 เมตร ไหล่ทางกว้างไม่เกินข้างละ 1 เมตร ยานพาหนะจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชั่วโมง ร่องระบายน้ำกว้างไม่เกิน 3.50 เมตร จัดรถสาธารณะและสถานที่จอดรถไว้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าทั้ง 2 ด่าน และใช้มาตรการทางการเงินในการควบคุมปริมาณรถเข้าไปในอุทยานฯ เขาใหญ่
กระทรวงการต่างประเทศจะขอความเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาเพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-พม่า ตลอดแนวในกรอบของคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-พม่า และกลไกอื่นๆ เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา
กระทรวงศึกษาธิการจะรายงานมาตรการแก้ปัญหานักเรียนนักศึกษาทะเลาะวิวาท โดยกระทรวงฯ จะเป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลสวัสดิภาพนักเรียน และขอความร่วมมือจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะที่ดูแลป้องกัน สถานที่ขายสิ่งเสพติดรอบโรงเรียน, กระทรวงมหาดไทย ให้ช่วยดูแลความปลอดภัยนักเรียน, กระทรวงยุติธรรมให้ใช้กฎหมายเกี่ยวกับสถานพินิจให้จริงจัง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ประกาศเขตพื้นที่เสี่ยงพิเศษและสนธิกำลังในการคลี่คลายปัญหา กระทรวงศึกษาธิการพร้อมเปิดโรงเรียนให้ตรวจค้นอาวุธ และจัดทำประวัตินักเรียน พร้อมทั้งเสนอให้โรงเรียนกลุ่มเสี่ยงจัดกิจกรรมนำนักเรียนดูงานสถานพินิจ
วาระโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ได้แก่ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คาดว่านายสมชาย เสียงหลาย เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.)จะได้รับการแต่งตั้งเข้ามารับตำแหน่ง ส่วนกระทรวงมหาดไทยคาดว่าจะมีการเสนอแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด