รองประธานาธิบดีซี จี้นผิง ของจีนได้เรียกร้องให้บริษัทของจีนเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศหลังจากจีนได้กลายเป็นประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก
โดยนายซี กล่าวปาฐกถาในการเปิดประชุม Second World Investment Forum ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัดว่า "เราได้ส่งเสริมให้มีการร่วมมือกันกับบริษัทข้ามชาติของจีนหลายรูปแบบ เพื่อขยายการลงทุนและการพัฒนาไปยังต่างประเทศ"
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนชี้ให้เห็นจีนเป็นประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ในการลงทุนทางตรงในต่างประเทศ (ODI) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์
นายซีกล่าวว่า "ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้เริ่มดำเนินการเพื่อเปิดกว้างในหลายระดับ ทั้งการเปิดการลงทุนและการใช้แนวทางใหม่ๆ ในการลงทุนและเพิ่มความร่วมมือกับต่างประเทศ"
ในปี 2552 จีนมีบริษัทที่ดำเนินงานในต่างประเทศทั้งหมด 13,000 บริษัท และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนปีที่แล้วบริษัทของจีนใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 2.457 แสนล้านดอลลาร์ ใน 177 ประเทศ
นายซีกล่าวว่า ในขณะที่จีนกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจแบบเปิด จีนก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มศักยภาพการพัฒนาประเทศตนเองอย่างมีเอกภาพ เพื่อเพิ่มมาตรฐานการดำรงชีพและลดช่องว่างจากประเทศพัฒนาแล้ว
ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา จีนได้ซื้อพันธบัตรของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มูลค่า 5.0 หมื่นล้านดอลลดาร์ ซึ่งถือเป็นการใช้เครื่องมือการลงทุนที่ปลอดภัย เพื่อเพิ่มความสามารถด้านเงินทุนในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ แก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและหนุนเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัวโดยเร็ว
นายซีกล่าวว่า จีนได้ขอร้องให้ไอเอ็มเอฟใช้เม็ดเงินดังกล่าวในการปล่อยกู้แก่ประเทศด้อยพัฒนาที่สุด
"ในอนาคต เราจะกระตุ้นให้บริษัทของจีนเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งการให้ความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยให้ประเทศเหล่าสามารถนั้นเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง" เขากล่าว
สำหรับธีมการจัดงาน "การลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" เป็นการสัมนาที่จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ที่มุ่งไปที่ความท้าทายและโอกาสในการลงทุนทั่วโลกภายหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและการแสวงหาองค์ความรู้ในการสร้างความสมดุลย์ระหว่างการลงทุนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน