กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยผ่านเว็บไซต์ว่า การที่รัฐบาลเวียดนามยังคงเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภายหลังจากที่เวียดนามประกาศใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาด
เว็บไซต์ของไอเอ็มเอฟระบุว่า การที่รัฐบาลเวียดนามเปลี่ยนแปลงระดับการให้ความสำคัญด้านนโยบายในช่วงปลายปี 2552 จนถึงต้นปี 2553 ไปเป็นการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคนั้น สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินผ่านทางมาตรการต่างๆ อาทิ มาตรการลดสภาพล่อง ลดการให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้และระงับนโยบายการเปิดเสรีด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวด้านสินเชื่อชะลอตัวลง ไอเอ็มเอฟยังกล่าวด้วยว่า นโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่พุ่งเป้าไปที่การขยายตัวของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การขยายตัวของสินเชื่อและปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบนั้น จะทำให้ตลาดตั้งข้อสงสัยว่าเวียดนามจะสามารถเดินไปถึงเป้าหมายทั้งหมดที่วางไว้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะการที่เวียดนามไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายต่างๆ ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 6.5% และคาดว่าปริมาณเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นจะมีอยู่ปานกลาง ซึ่งจะทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1.54 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2553 จากปี 2552 ที่ระดับ 1.41 พันล้านดอลลาร์
เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเวียดนามประกาศลดค่าเงินดองลง 2% มาอยู่ที่ระดับ 18,932 ดองต่อดอลลาร์ นับเป็นการประกาศลดค่าเงินดองครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เดือนพ.ย.2552 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะควบคุมยอดขาดดุลการค้า โดยยอดขาดดุลการค้าเดือนก.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.15 พันล้านดอลลาร์ จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 742 ล้านดอลลาร์ ส่วนยอดขาดดุลการค้าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ระดับ 7.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว