ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐและจีนทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.42% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 84.150 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดี (9 ก.ย.) ที่ 83.800 เยน และพุ่งขึ้น 0.42% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0190 ฟรังค์ จากระดับ 1.0147 ฟรังค์
ค่าเงินปอนด์ดิ่งลง 0.47% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5355 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ1.5427 ดอลลาร์ และยูโรขยับขึ้น 0.11% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2708 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2694 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.37% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9264 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9230 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.50% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7279 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7243 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนสกุลเงินดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจภาคค้าส่งได้ปรับสต็อกสินค้าในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือนมิ.ย. หรือเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มสต็อกสินค้าในภาคธุรกิจค้าส่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
สำนักงานศุลกากรของจีน (GAC) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ของจีนทะยานขึ้น 34.4% ต่อปี สู่ระดับ 1.393 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดการนำเข้าเพิ่มขึ้น 35.2% ต่อปี สู่ระดับ 1.1927 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดือนก.ค.ที่ขยายตัวเพียง 12.5%
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้ปรับเพิ่มการประเมินอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นครั้งล่าสุด โดยระบุว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัว 1.5% เพิ่มขึ้นจากการประเมินในเดือนก่อนที่ขยายตัวเพียง 0.4% เนื่องจากอัตราการใช้จ่ายด้านทุนในภาคเอกชนขยายตัวได้ดีถึง 1.5% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับการประเมินครั้งแรกว่าขยายตัวเพียง 0.5%
ส่วนค่าเงินยูโรฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงติดต่อกันหลายวัน เพราะถูกกดันจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวเสถียรภาพในภาคธนาคารของยุโรป หลังจากมีรายงานว่าธนาคารดอยช์แบงค์อาจต้องระดมทุนเพิ่ม และสมาคมธนาคารของเยอรมนีระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่อย่างน้อย 10 แห่งของเยอรมนีอาจต้องระดมทุนเพิ่มอีกราว 1.05 แสนล้านยูโร เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของคณะกรรมการกำกับดูแลภาคการธนาคารของสหภาพยุโรป (CEBS)