นายกฯ ยันบริหารศก.ภายใต้วินัยการเงินการคลังอย่างมีเสถียรภาพ ขาดดุลลดลง

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday September 12, 2010 10:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า สถานการณ์ด้านการเงินการคลังของประเทศในขณะนี้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง รัฐบาลสามารถบริหารแผนด้านการเงินการคลังให้อยู่ในวินัยโดยจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

"ความยั่งยืนด้านการเงินการคลัง ขอให้ประชาชนมั่นใจ ผมยืนยันว่าแผนการใช้จ่ายของรัฐในนโยบายสำคัญ และแม้แต่การจะมีระบบสวัสดิการภายในปี 59 นั้น อยู่ในวิสัยที่เราสามารถบริหารการเงินการคลัง ไม่มีปัญหาวินัยการเงินการคลัง ไม่มีปัญหาเสถียรภาพ หรือความไม่ยั่งยืน" นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เช้านี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ชี้แจงในเรื่องนี้ต่อที่ประชุมวุฒิสภาในช่วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 54 หลังจากที่ ส.ว.หลายคนแสดงความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณในปี 54

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากที่แต่ละประเทศต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลของทุกประเทศใช้วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล รวมทั้งมีแผนการกู้เงิน ซึ่งไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลไทย แต่หลังจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้รัฐบาลสามารถปรับลดแนวทางการกู้เงินลงได้จากเดิมที่คาดว่ามีความจำเป็นต้องกู้เงินมากถึง 8 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดก็กู้เพียง 4 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังคาดว่าการขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้เดิมที่ 3.5 แสนล้านบาท และอาจเข้าใกล้กับระดับงบประมาณสมดุลได้

"การขาดดุลงบประมาณที่เดิมคาดว่าปีนี้จะขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท แต่หลังจากที่พบว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการจัดเก็บรายได้เกินเป้าหมาย ปีนี้งบประมาณอาจจะใกล้เคียงกับระดับสมดุล คือไม่ขาดดุลมากถึง 3.5 แสนล้านบาทอย่างที่เคยวางแผนไว้" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนการจัดเก็บรายได้ที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.65 ล้านล้านบาทนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้สูงเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 7-8% และคาดว่าปีหน้าจะโตได้ 4-5% ซึ่งจะส่งผลให้มีการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น และการขาดดุลงบประมาณจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

พร้อมกันนี้ระดับหนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบันยังต่ำกว่า 45% ต่อจีดีพี ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก ดังนั้นจากเดิมที่เคยคิดว่าอาจต้องปล่อยให้หนี้สาธารณะของไทยขึ้นไปถึง 60% ซึ่งแม้จะยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ก็ตามนั้น แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์จริงแล้วอาจจะไม่ถึง 50% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

"เมื่อปีนี้เศรษฐกิจโต ก็มั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้จะได้มากกว่านั้น และการขาดดุลจะน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ นี่คือกลยุทธ์ในการบริหารเศรษฐกิจ เมื่อเรากระตุ้นเศรษฐกิจได้ และเศรษฐกิจฟื้นเร็ว เราก็จะลดเรื่องการขาดดุลได้ และลดความจำเป็นในการต้องไปกู้เงินได้โดยอัตโนมัติ" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนข้อกังวลของวุฒิสภาต่อความไม่โปร่งใสในการจัดทำงบประมาณโครงการต่างๆ ของภาครัฐนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ได้กำชับให้มีการติดตามและตรวจสอบในทุกโครงการ โดยจะให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความคุ้มค่าของโครงการเป็นหลัก พร้อมกันนี้จะเดินหน้าเรื่องการกำจัดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และในอนาคตจะทำแผนระดับชาติในการสร้างความซื่อตรง โดยหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งสำหรับใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นให้ลดน้อยลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ