สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนประกาศเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาว่า การผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 3.903 แสนล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งผลให้การผลิตกระแสไฟฟ้ารวมช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคมอยู่ที่ 2.74 ล้านล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง
-- นโยบายจำกัดการใช้ไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงส่งผลให้ผลผลิตเหล็กลดลงแล้ว 25.7 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของผลผลิตเหล็กดิบรายเดือนของประเทศจีน
ขณะเดียวกันผลผลิตเหล็กที่ลดลงก็ส่งผลให้ราคาถ่านหินลดลงตามไปด้วย โดยราคาถ่านหินที่ท่าเรือชิงหวงเต่าลดลง 7% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่บริษัทเฉินหัว และ ไชน่าโคล ก็ปรับลดราคาถ่านหินลงแล้วเช่นกัน
-- หลี่ จุนเฟิง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงานภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) กล่าวว่า กำลังการผลิตติดตั้ง (installed capacity) กระแสไฟฟ้าพลังงานลมในจีนคาดว่าจะแตะ 40 ล้านกิโลวัตต์ในสิ้นปี 2553 และเพิ่มขึ้นแตะ 200 ล้านกิโลวัตต์ในปี 2563
-- อุปทานและอุปสงค์กระแสไฟฟ้าในจีนมีแนวโน้มว่าจะยังอยู่ในภาวะสมดุล โดยในบางพื้นที่อาจมีอุปทานมากกว่าอุปสงค์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของอุปทานถ่านหินและสภาพอากาศอาจทำให้อุปทานกระแสไฟฟ้าอยู่ในภาวะตึงตัวในบางพื้นที่
-- Cinda Securities รายงานว่า หากการบริโภคถ่านหินต่อจีดีพีของจีนลดลง 4% เมื่อเทียบรายปีในปีนี้ภายใต้นโยบายอนุรักษ์พลังงานและลดการปล่อยก๊าซพิษ รวมถึงถ้าจีดีพีขยายตัว 9% ดีมานด์ถ่านหินในประเทศในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 3.16 พันล้านตัน ลดลง 132 ล้านตันจากปีที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน