ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์ร่วงเทียบเยน หลัง"นาโอโตะ คัง"ชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรคดีพีเจ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday September 15, 2010 07:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข่าวนายนาโอโตะ คัง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายคังจะไม่มีมาตรการแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์และหันไปถือครองสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.71% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.090 เยน จากระดับของวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ 83.680 เยน และดิ่งลง 1.23% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9951 ฟรังค์ จากระดับ 1.0075 ฟรังค์

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.98% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3004 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2878 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.81% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5551 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5426 ดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.63% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9415 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.9356 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดตัวขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7360 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7336 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากนายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคดีพีเจเมื่อวานนี้ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่อไป โดยนายคังได้รับคะแนนเสียงจากสมาชิกพรรค 721 คะแนน ขณะที่นายโอซาว่าได้รับคะแนนเสียงเพียง 491

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายคังจะไม่มีมาตรการแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน แม้ว่าก่อนหน้านี้นายโยชิฮิโกะ โนดะ รมว.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะติดตามดูความเคลื่อนไหวในตลาดปริวรรตเงินตราอย่างใกล้ชิด และอาจจะใช้มาตรการเชิงรุกที่ครอบคลุมถึงการแทรกแซงตลาด เพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน

นอกจากนี้ ดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์และหันไปซื้อสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า โดยเมื่อวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 5 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศและยอดขายเสื้อผ้าที่ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน

กระทรวงพาณิชย์ยังระบุด้วยว่า สต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง โดยสต็อกสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในยุโรปนั้น ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค.

ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.

เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ เคลื่อนไหวที่ระดับ 3.1% ต่อปี ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค. ข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นของสหรัฐประจำเดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ