"หากเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในระยะสั้นการปรับตัวด้านต่างๆ ของผู้ประกอบการยังมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะในเรื่องการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มราคาขายหรือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน แน่นอนว่าภาคส่งออกจะได้รับผลกระทบมาก และนับเป็นการสูญเสียโอกาสขณะที่ตลาดส่งออกขยายตัวดี เงินบาทแข็งค่าจึงเป็นเสมือนลูกตุ้มถ่วงการขยายตัวของภาคส่งออก และหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ แรงขับเคลื่อนจากภาคส่งออกซึ่งเป็นความหวังสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอาจต้องสะดุดลง ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 เป็นต้นมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากระดับ 32.214 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2553 มาอยู่ที่ระดับ 30.748 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2553 หรือแข็งค่าขึ้นราว 4.8% ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเศษ หรือหากย้อนไปตั้งแต่ต้นปี 2553 พบว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 8.0% หากพิจารณาการแข็งค่าของเงินบาทเปรียบเทียบกับการแข็งค่าของสกุลเงินคู่แข่งสำคัญทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ต้นปี 2553 พบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ ยกเว้นมาเลเซียที่ค่าเงินแข็งขึ้นกว่าไทย
ปัจจุบันเริ่มมีเสียงสะท้อนจากผู้ส่งออกในหลายอุตสาหกรรมซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ ซึ่งหากเงินบาทยังแข็งค่าอย่างรวดเร็วเกินไปจนผู้ส่งออกไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อลดต้นทุนหรือการปรับขึ้นราคาขาย ผลกระทบก็อาจขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีอัตราผลกำไร (Margin) ไม่มากนัก
ทั้งนี้ จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK ภายใต้สมมติฐานที่ว่าผู้ส่งออกมี Margin อยู่ที่ 5% พบว่า หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าอย่างรวดเร็วจนแตะระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอาจทำให้ผู้ส่งออกในหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถส่งออกต่อไปได้
สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ได้แก่ ข้าว กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ไก่แปรรูป น้ำตาลทราย แป้งแปรรูป ยางแปรรูปขั้นต้น ถุงมือยาง เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากทำให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลงมากเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมดังกล่าวยังเน้นใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลักจึงไม่ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงตามเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบปานกลาง ได้แก่ ผลไม้ เครื่องดื่ม ทูน่ากระป๋อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผ้าผืน ยางรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกต่อผลผลิตรวมใกล้เคียงกับสัดส่วนการใช้วัตถุดิบนำเข้า ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการป้องกันความเสี่ยงแบบธรรมชาติ (Natural Hedge) จากความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนอยู่พอสมควร
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก ได้แก่ กระดาษ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบนำเข้ามากซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่ต้นทุนถูกลง ขณะเดียวกันก็เน้นจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ทำให้รายได้ไม่ถูกกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทมากนัก