นายนริศ ชัยสูตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย กล่าวถึงการประชุมระดับปลัดกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Deputies’ Meeting : APEC FDM) เมื่อ 22 ก.ย.53 ที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกและในภูมิภาคเอเปค ธนาคารพัฒนาเอเชียเห็นว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกกำลังฟื้นตัวในลักษณะ V-Shape เนื่องจากระบบสถาบันการเงินในภูมิภาคนี้มีความมั่นคงกว่าภูมิภาคอื่น
แต่เสถียรภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นขึ้นกับการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสม จากการหารือที่ประชุมได้มีความเห็นสอดคล้องกันว่าสมาชิกเอเปคควรจะมีการดำเนินการร่วมกันในด้านแนวทางการปรับภาวะการคลังเข้าสู่สมดุลและแนวทางการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินที่เหมาะสม
ขณะที่เศรษฐกิจโลกนั้นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางดีขึ้นในครึ่งปีแรกของ 53 นั้นจะชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังของ 53 และอาจจะต่อเนื่องถึงครึ่งแรกของปี 54 เนื่องจากยังมีความเสี่ยงด้านฐานะการคลังของประเทศต่างๆ และความอ่อนแอในการกำกับดูแลภาคการเงินที่ยังมีอยู่ในบางประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือร่างยุทธศาสตร์เกียวโต เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งร่างดังกล่าวประกอบด้วยประเด็นหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของกรอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ที่จะมีในวันที่ 6 พ.ย.53 ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
ได้แก่ เรื่องของสังคมผู้สูงอายุและความยั่งยืนทางการคลัง (Aging and Fiscal Sustainability) ซึ่งเป็นความท้าทายของสมาชิกเอเปคในการบริหารการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องบำเหน็จบำนาญและบริการด้านสุขภาพ ดังนั้นสมาชิกเอเปคจึงอาจยืดอายุวัยเกษียณออกไปอีก 3-5 ปี หรือ ใช้มาตรการภาษีเพื่อเร่งรัดให้สัดส่วนการออมภาคประชาชนมีสูงขึ้น
การจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Finance) เนื่องจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภูมิภาคเอเชียมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สมาชิกเอเปคจึงควรหาแนวทางพัฒนาแหล่งเงินทุนทางเลือกต่างๆ เพื่อให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และลดภาระของงบประมาณรัฐ เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเครดิต การขยายขอบเขตของหลักประกันเงินกู้ การลดต้นทุนสินเชื่อของ SMEs การพัฒนาตลาดทุน รวมถึงการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานของ SMEs
การจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับบริการด้านการเงินฐานราก (Micro Finance) ปัจจุบันบริการด้านการเงินฐานรากยังมีปัญหาหลักในเรื่องของแหล่งเงินทุนไม่เพียงพอและปัญหาประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง สมาชิกเอเปคจึงควรมีแนวนโยบายส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การทำธุรกรรมผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังมีแนวทางการทำธุรกรรมผ่านตัวแทนส่งเสริมให้มีผู้ให้บริการมีความหลากหลายมากขึ้น มีการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งให้สถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยเหลือแก่ผู้ให้บริการ microcredit
การจัดหาแหล่งทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Finance) ซึ่งเห็นว่าควรมีมาตรการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมทั้งในด้านการให้กู้ยืมและการเข้าร่วมทุน เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐบาล แต่สมาชิกเอเปคส่วนใหญ่ยังขาดความชำนาญและผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดทำโครงการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships: PPPs) รวมทั้งขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นแกนกลางในการประสานเพื่อให้เกิดโครงการ PPP ดังนั้นจึงควรมีการเร่งพัฒนาทักษะของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อกำกับดูแลโครงการ PPP
นายนริศ กล่าวว่า ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่สมาชิกเอเปคให้ความสนใจแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ในการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุน ได้แก่ การปฎิรูปเชิงโครงสร้าง (Structural Reform) การเจริญเติบโตสีเขียว (Green Growth) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ทั้งนี้ ในกรอบเอเปคนี้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ 2 หัวข้อหลักได้แก่ การพัฒนาแหล่งเงินทุนฐานราก และการพัฒนาโครงการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งในด้านการพัฒนาแหล่งเงินทุนฐานรากนั้นไทยได้ดำเนินการไประดับหนึ่งแล้ว โดยมีการวางกรอบนโยบายไว้ในแผนแม่บทการเงินฐานราก แผนพัฒนาสถาบันการเงินของรัฐ และแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 ซึ่งครอบคลุมแนวทางการพัฒนาแหล่งเงินทุนฐานรากไว้ครบถ้วน
ในส่วนของ PPP นั้นไทยได้มีบทบาทนำในการเป็นเจ้าภาพร่วมกับออสเตรเลีย และอินโดนีเซียจัดการประชุมทางวิชาการขึ้น 2 ครั้ง ในปี 2553 เพื่อหาแนวนโยบายหลักที่สมาชิกสามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับประเทศของตน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการสรุปผลเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค