นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือซีพี คาดว่า ปลายปีมีโอกาสเงินบาทจะหลุด 30 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีเงินลงทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสนอแนะว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ไม่ควรจะเข้าไปต่อสู้กับการแข็งค่าเงินบาท เพราะมีโอกาสที่จะหยุดยั้งไม่ได้ เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาก แต่อาจเข้าไปแทรกแซงบ้างบางจังหวะ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางการควรดำเนินการในขณะนี้ คือการส่งเสริมให้ธุรกิจหรือเอกชนไปลงทุนในต่างประเทศ หรือลงทุนซื้อเครื่องจักรเข้ามา นอกจากนี้ ภาครัฐควรให้ความสนใจธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs)เพื่อให้ธุรกิจไปได้รอด และจะเป็นการส่งเสริมทำให้ธุรกิจไทยโตต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ธนาคารพาณิชย์ผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่ม SMEs
"ในอาเซียนต่างประเทศมองไทยดีที่สุด แต่การเมืองเราไม่ดี ถ้าการเมืองเราดี เงินบาทอาจจะแข็งค่ามากกว่านี้" นายธนินท์ กล่าวในงานสัมมนา "Asia Rising:Thai Enterpreur's Roadmap to New Investment Opportunities and Growth in the New Landscape"จัดโดยกรมเจรจาการค้าต่างประเทศ และสถาบันนานาชาติเพื่อเอเชียแปซิฟิกศึกษา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
นายธนินท์ กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสของประเทศไทยที่ควรจะคว้าโอกาสผลักดันประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจถือได้ว่าเติบโตมากในเอเชียและมีจีนกับอินเดียเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยจังหวะนี้รัฐบาลไทยควรหันมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบชลประทาน เพื่อรองรับการเติบโต เพราะจะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งนับวันไทยจะด้อยกว่าเวียดนาม และอินโดนีเซีย
รวมทั้งรัฐบาลไม่ควรกดราคาสินค้าเกษตรเหมือนที่ผ่านมา เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมู แต่รัฐควรให้การสนับสนุน ซึ่งจะช่วยทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งตรงกับทฤษฎี 2 สูง คือ รายได้เกษตรกรสูงขึ้น และรายได้คนทำงานสูงขึ้น
"ผมไม่กลัวเงินเฟ้อ ผมกลัวเงินฝืด ประเทศใหญ่เขาก็ใช้ 2 สูง ถ้าไม่ใช้ 2 สูงเขาก็ไม่ร่ำรวย" นายธนินท์ กล่าวในหัวข้อ "เอเชียผงาด : นัยต่อประเทศไทย"
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า ประเทศในอาเซียนมีความสำคัญต่อจีน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งจีนต้องการสร้างระบบขนส่งผ่านไทยไปสิงคโปร์ และพม่าเข้าไทย เพื่อหาช่องทางขนส่งทางทะเลในการส่งออกและนำเข้าสินค้า โดยไม่พึ่งพิงเพียงแค่ช่องแคบมะละกา
"จีนอยากเป็นพันธมิตรกับไทยใจจะขาด ถ้าไทยไม่รู้จักใช้โอกาสนี้ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ไทยต้องเปิดเกมเชิงรุก" นายสมคิด กล่าว
ปัจจุบันยอดส่งออกที่ผ่านมาของไทย มีการส่งออกไปในกลุ่มเอเชีย 60.8% สหรัฐฯ 10.9% ยุโรป 10.5% ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) กับจีนและอินเดีย ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนรายใหญ่ได้พยายามขยายฐานการผลิตในอาเซียน แต่ทั้งนี้มองว่าผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก(SMEs) ของไทยยังน่าเป็นห่วง เพราะยังมีความอ่อนแอ ซึ่งปัญหาค่าเงินบาทเป็นเรื่องที่ช่วยได้ลำบาก เพราะแนวโน้มเงินบาทยังแข็งค่าจากการที่ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก ประกอบกับการเกินดุลการค้า ดังนั้น SMEs ต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
ปัจจุบันไทยมีความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าเวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งรัฐบาลต้องกลับมาเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่เล่นการเมืองแบบเดิมๆ ไม่ใช้การบริหารแบบลัทธิเต๋า บริหารงานแบบไม่ต้องบริหาร คนจะตามไม่ทัน
"ประเทศ ถ้าไม่มีเอกภาพ ไม่มีใครเขาแคร์ ประเทศไทยควรใช้เวลาสร้างโอกาสเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำวันนี้ เราจะไม่ได้เป็น Winner แต่จะเป็น Looser เป็น Laggard ที่ไม่มีใครเขาสนใจ" นายสมคิด กล่าว