นายกรัฐมนตรี คาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตใกล้ 8% ส่วนตัวเลขคนว่างงาน 1% และ หนี้สาธารณะ 42-43%ของจีดีพี ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเหล่านี้สร้างความทึ่งกับนักลงทุนต่างชาติรวมถึงสื่อต่างชาติ จากปีก่อนที่เศรษฐกิจไทยติดลบ นอกจากนี้ยังมีงบไทยเข้มแข็งกระตุ้นการลงทุนต่อเนื่องถึงปี 55 ทำให้ตลาดหุ้นไทยร้อนแรงและเป็นที่น่าสนใจนักลงทุนต่างชาติ
"เขาเห็นตัวเลขเศรษฐกิจเขาตื่นเต้นมาก เพราะจากที่เราติดลบปีที่แล้ว ปีนี้เราขยับขึ้นมา ขณะนี้คาดว่าใกล้ 8% และตัวเลขสองตัว ซึ่งเขาทึ่งมากคือตัวเลขการว่างงานของเราอยู่ 1% กับอีกตัวหนึ่ง อาจจะแปลกใจ หนี้สาธารณะเรามี 42-43% ของจีดีพี ของคนอื่นกระโดดสูงขึ้นมาก เพราะฉะนั้นเขาตื่นเต้นมาก" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวใน"รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์" หลังได้พบสภาธุรกิจและ และให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น , ซีเอ็นบีซี และนิตยสารฟอร์บส์
ทั้งนี้ เป็นผลจากความเข้มแข็งปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและคนไทย โดยคนไทยและภาคเอกชนปรับตัวได้เร็ว ซึ่งได้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาก่อน และนโยบายรัฐบาลในปีทีแล้วรัฐบาลได้ดำเนินการกระตุ้นการบริโภคภายในก่อน ทำให้เศรษฐกิจภายในมีเสถียรภาพ ขณะเดียวกันเดินหน้าเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียนมีการทำข้อตกลงกับประเทศอื่นได้แก่ จีน อินเดีย ฉะนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น ทำให้ส่งออกของไทยฟื้นตัวได้เร็วและดีขึ้นมาก ขยายตัวได้กว่า 30% แม้จะมีปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่าที่กระทบบ้าง
นอกจากนี้ในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ถ้าคิดเป็นเงินบาทเพิ่มขึ้น 30% ถ้าคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% ถือว่าเป็นตลาดร้อนแรงที่สุดในตลาดโลกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหุ้นไทยจึงเป็นที่สนใจ
"มีคำถามว่าหุ้นไทยจะไปได้นานแค่ไหน ผมก็บอกว่า มีปัจจัยที่ยังหนุนเศรษฐกิจอยู่คือ ไทยเข้มแข็ง และงบไปถึง 2555 ซึ่งก็จะเป็นการกระตุ้นการลงทุน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนรื่องการเมือง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเดินหน้าแผนปรองดอง และยอมรับว่าตอนนี้ก็ยังมีอุปสรรคอยู่ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยไม่ใช่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจเท่าไร เพราะฉะนั้นนโยบายค่อนข้างมีความต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสบายใจได้บ้าง และเศรษฐกิจก็ยังมีแรงเหวี่ยงแม้จะมีปัญหาด้านการเมืองอยู่
นอกจากนี้ยังปัญหาเรื่องกฎหมายจากกรณี มาบตาพุดกับ 3G ทำให้นักลงทุนต่างชาติกังวล ซึ่งเป็นปัญหารการตีความกฎหมาย นายกรัฐมตรียังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ทั้งสองเรื่องไม่ใช่นโยบายรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่โยงกับรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งไม่มีใครมีคำตอบสุดท้ายจนกระทั่งเรื่องเกิดขึ้น และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในการตึความอย่างสองเรื่องดังกล่าว แต่ในเชิงนโยบายก็ให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลก็ได้เร่งให้แก้ปัญหา โดยพยายามทำกติกาให้ชัดเจน เร่งรัดเท่าที่จะทำได้
สำหรับการพบปะกับสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ในเวทีย่อยของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐให้ความสนใจอาเซียนมากขึ้น ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศของสหรัฐ ย้ำว่าสหรัฐลงทุนในอาเซียนมากกว่าจีนและอินเดีย
"เขาให้ความสนใจมากว่าถ้าหากเราจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 5 ปีข้างหน้า น่าจะทำให้การค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเราทำสำเร็จอาเซียนที่มีประชากรน่าจะเพิ่ม 700 ล้านคน และเขาก็รู้ว่าเราเติบโตเร็ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว