ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนของสหรัฐได้จุดปะทุให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.46% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.870 เยน จากระดับของวันจันทร์ (27 ก.ย.) ที่ 84.260 เยน และดิ่งลง 0.92% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9763 ฟรังค์ จากระดับ 0.9854 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.97% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3585 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.3454 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.16% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5802 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5827 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.77% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9682 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.9608 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.75% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7395 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7340 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันอย่างหนักจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจใช้มาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก หลังจากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือนก.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 48.5 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 53.2 จุด เนื่องจากตลาดแรงงานและภาวะการลงทุนในภาคธุรกิจซบเซาลง
เมื่อไม่นานมานี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากเฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 2.551 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2552 โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้เม็ดเงินไหลออกจากระบบการเงินของสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ จากเดิมที่คณะกรรมการเฟดวางแผนที่จะใช้ยุทธศาสตร์ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ที่ระบุว่า CEO ทั่วสหรัฐมีท่าทีระมัดระวังต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะลดการจ้างงานลงอีก
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐหดตัวลงอย่างหนัก ซึ่งสวนทางกับเยอรมนีที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง โดยเมื่อวานนี้สถาบันวิจัย GfK เผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ของเยอรมนีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.9 จุด จากเดือนก.ย.ที่ 4.3 จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับตลาดแรงงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขั้นสุดท้ายประจำไตรมาส 2 จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย.