ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราเมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) เนื่องจากการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของบีโอเจยิ่งทำให้ความเป็นไปได้ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE นั้น มีน้ำหนักมากขึ้น
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.16% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3839 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ (4 ต.ค.) ที่ระดับ 1.3680 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.47% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5895 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5821 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.16% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.210 เยน จากระดับ 83.340 เยน และดิ่งลง 0.49% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9665 ฟรังค์ จากระดับ 0.9713 ฟรังค์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.39% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9715 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.9677 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.20% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7482 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7393 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และหันไปซื้อสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0-0.1% พร้อมกับจัดตั้งกองทุนวงเงิน 35 ล้านล้านเยน (4.19 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตราสารเชิงพาณิชย์ และหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน รวมทั้งรับหลักทรัพย์เหล่านี้ไว้เป็นหลักประกัน โดยบีโอเจให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเช่นนี้ไปจนกว่าราคาผู้บริโภคจะมีเสถียรภาพ
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยและใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งนี้นับเป็นการดำเนินการที่เหนือความคาดหมายของตลาด และอาจจะกระตุ้นให้คณะกรรมการเฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ โดยมาตรการ QE ครอบคลุมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่าอ่อนลงไปอีก
เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโร้ดไอร์แลนด์เมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะได้ประโยชน์หากเฟดตัดสินใจเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ MBS อีกครั้ง ซึ่งการแสดงความคิดเห็นครั้งล่าสุดของเบอร์นันเก้ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า คณะกรรมการเฟดจะประกาศใช้มาตรการ QE ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ หลังจากที่เฟดได้เข้าซื้อตราสารหนี้และพันธบัตรไปแล้วทั้งสิ้น 1.7 ล้านล้านดอลลาร์
ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 4.75%
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนก.ย.ขยายตัวที่ระดับ 53.2 จุด จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 51.5 จุด ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 52.0 จุด โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึง ADP Employer Services ที่จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนก.ย.ในวันพุธ และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ในวันศุกร์นี้