บรรดานักอุตสาหกรรมเชื่อว่าค่าไฟในออสเตรเลียที่พุ่งสูงอาจทำให้ภาคการผลิตและเหมืองแร่ของออสเตรเลียมีความสามารถในการแข่งขันลดลง ขณะที่เกาหลีใต้และไต้หวันสามารถผลิตไฟฟ้าราคาถูกกว่าออสเตรเลียแม้ว่าทั้งสองประเทศจะต้องนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียก็ตาม
โดยค่าไฟสำหรับครัวเรือนในออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 12.4% ในปีที่ผ่านมา หรือสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อถึง 4 เท่า ขณะที่ครัวเรือนในไต้หวันและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของออสเตรเลีย เสียค่าไฟถูกกว่าออสเตรเลียถึงหนึ่งในสาม
ข้อมูลล่าสุดในปี 2551 ของสำนักงานเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากรแห่งออสเตรเลีย ระบุว่าครัวเรือนในออสเตรเลียต้องจ่ายค่าไฟ 14.3 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ขณะที่ครัวเรือนในเอเชียจ่ายค่าไฟเพียง 10.6 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง
โรมัน โดมันสกี ผู้อำนวยการสมาคมผู้ใช้ไฟฟ้าแห่งออสเตรเลีย (EUAA) กล่าวว่า สมัยก่อนออสเตรเลียมีค่าไฟถูกซึ่งถือเป็นกำไรสำหรับเศรษฐกิจและสังคมออสเตรเลีย แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ค่าไฟเริ่มอยู่เหนือการควบคุมซึ่งทำให้ออสเตรเลียมีความสามารถในการแข่งขันลดลง ขณะเดียวกันหลายบริษัทอาจต้องปิดกิจการและย้ายไปต่างประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ดิ ออสเตรเลียนว่า ออสเตรเลียไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินแห่งใหม่เลยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่ความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงเนื่องจากจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากมีการผลิตไฟฟ้ามากขึ้นสอดคล้องกับความต้องการที่สูงขึ้น ค่าไฟคงไม่พุ่งสูงขนาดนี้
เรย์ ฮอร์สเบิร์ก อดีตหัวหน้าผู้บริหารบริษัท Smorgon Steel Group ก็ออกมาเตือนถึงอันตรายของค่าไฟที่พุ่งสูง โดยเขาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ดิ ออสเตรเลียนว่า ท้ายที่สุดแล้วอลูมิเนียม เหล็ก และโลหะอื่นๆที่ผลิตในออสเตรเลีย จะไม่สามารถแข่งขันกับโลหะที่นำเข้าจากจีนได้ เพราะค่าไฟเป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุดของโรงหลอมเหล็ก
ขณะเดียวกันมัลคอล์ม บรูมเฮด ประธานบริษัท Asciano และสมาชิกบอร์ดบริหารบริษัท บีเอชพี บิลลิตัน คาดการณ์ว่าค่าไฟจะสูงขึ้นอีกเนื่องจากมีการเก็บค่าปล่อยก๊าซคาร์บอน
ทั้งนี้ ถ่านหินเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ออสเตรเลียส่งออกมากที่สุด โดยส่วนมากส่งออกไปยังโรงผลิตไฟฟ้าในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อทำการผลิตกระแสไฟฟ้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน