อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ระดับโลก เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2553 อยู่ที่ 1.12 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 16.60 ดอลลาร์ต่อหุ้น เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขาดทุน 8.87 พันล้านดอลลาร์ หรือ 65.51 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่วนกำไรสุทธิตลอดปี 2553 ของ AIG อยู่ที่ 7.8 พันล้านดอลลาร์
กำไรส่วนใหญ่ของ AIG เป็นเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ของบริษัท AIA Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือในฮ่องกง มูลค่า 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์ และจากการขายกิจการบริษัทอเมริกัน ไลฟ์ อินชัวรันซ์ (AIA) ให้กับบริษัท พรูเดนเชียลของอังกฤษ ซึ่งเงินได้จากการทำธุรกรรมทั้งสองทางนี้ เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้ AIG สามารถทำข้อตกลงกับกระทรวงการคลังสหรัฐ, ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และทรัสตีของ AIG Credit Facility Trust ในการชำระคืนเงินกู้ให้กับกองทุนภาษีของสหรัฐ
นายโรเบิร์ต เบนมอช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AIG กล่าวว่า AIG ได้ปรับโครงสร้างต่างๆมากมายในช่วงไตรมาส 4 และเขาจะจัดประชุมในช่วงเช้าวันนี้เพื่อหารือกับผู้บริหารคนอื่นๆเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้
AIG ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่รัฐบาลสหรัฐมองว่า "มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มละลาย"นั้น ได้รับเงินช่วยเหลือในรูปของเงินกู้มูลค่า 1.82 แสนล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐตั้งแต่เดือนก.ย.2551 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตการเงินโลกขยายวงกว้างจนส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ การที่ AIG สามารถทำข้อตกลงชำระคืนเงินกู้ให้กับรัฐบาลสหรัฐนับเป็นย่างก้าวสำคัญที่จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐถอนตัวออกจากการถือหุ้นใน AIG และเมื่อธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นลง ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินวันที่ 15 มี.ค.2554 นั้น คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะได้รับคืนเงินต้นทั้งหมดโดยไม่ขาดทุน และคาดว่าหุ้นบุริมสิทธิ์มูลค่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ที่กระทรวงการคลังถืออยู่ใน AIG จะถูกแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ซึ่งจะเปิดทางให้กระทรวงการคลังสามารถนำหุ้นดังกล่าวออกจำหน่ายให้กับสาธารณะชน เพื่อระดมทุนเข้าสู่กองทุนภาษีได้อีกทอดหนึ่งด้วย