บริษัท อินเทล คอร์ป ผู้ผลิตชิปรายใหญ่สุดของโลก รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง และดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 อินเทลมีกำไรสุทธิ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 54 เซนต์/หุ้น เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จากรายได้โดยรวม 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ พุ่งขึ้น 21% จากปีที่แล้ว ขณะที่กำไรขั้นต้น (gross margin) อยู่ที่ 61% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าความคาดหมายของวอลล์สตรีท ที่คาดว่ากำไรต่อหุ้นของอินเทลจะอยู่ที่ 51 เซนต์/หุ้น จากรายได้ 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มของไตรมาสต่อไปนั้น อินเทลคาดการณ์ว่ารายได้จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ บวกหรือลบไม่เกิน 500 ล้านดอลลาร์ และกำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 64% บวกหรือลบไม่เกิน 2%
อินเทลระบุในแถลงการณ์ว่า นับเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบเลขสองหลักในทุกธุรกิจ โดยรายได้จากกลุ่มลูกค้าพีซีเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบรายปี ส่วนรายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูลทะยาน 15% เมื่อเทียบรายปี
ขณะเดียวกันการซื้อกิจการบริษัท แมคอาฟี อิงค์ ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์แอนติไวรัส และบริษัท อินฟีเนียน ไวร์เลส โซลูชั่นส์ (ปัจจุบันคือบริษัท อินเทล โมบาย คอมมิวนิเคชั่นส์) ก็สร้างรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์
"เราประสบความสำเร็จอีกครั้งในไตรมาส 2 โดยมีรายได้เกิน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก" นายพอล โอเทลลินี ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของอินเทล กล่าว
ผลประกอบการรายไตรมาสของอินเทลเป็นปัจจัยชี้วัดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมพีซี ซึ่งในระยะหลังมียอดขายซบเซาเนื่องจากอุปสงค์จากผู้บริโภคในสหรัฐและยุโรปลดลง
อินเทลเผยว่า รายได้จากอะตอม ไมโครโปรเซสเซอร์ ซึ่งใช้ในเน็ตบุ๊ก และ mobile Internet devices (MID) ลดลง 15% เมื่อเทียบรายปี แต่ยอดสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เซิร์ฟเวอร์ และโน้ตบุ๊กจากภาคเอกชนที่ยังแข็งแกร่ง รวมถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและบราซิล ช่วยชดเชยตลาดผู้บริโภคที่ซบเซา สำนักข่าวซินหัวรายงาน