ออโต้ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐเปิดเผยในรายงานเบื้องต้นว่า ยอดขายรถใหม่ในตลาดสหรัฐในปี 2554 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.3% จากปี 2553 สู่ระดับ 12,778,171 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์ใหม่ในเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 8.7% สู่ระดับ 1,243,965 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7
เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ยังสามารถรั้งตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 2,503,797 คันในปี 2554 เพิ่มขึ้น 13.2% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 19.6% ส่วนอันดับ 2 เป็นของฟอร์ด มอเตอร์ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 11% แตะที่ 2,143,101 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 16.8%
โตโยต้า มอเตอร์ ทำยอดขายมากเป็นอันดับ 3 ในตลาดสหรัฐที่ 1,644,661 คันในปี 2554 แม้ยอดขายปรับตัวลดลง 6.7% และส่วนแบ่งตลาดลดลงมาอยู่ที่ 12.9%
ไครส์เลอร์ กรุ๊ป แอลแอลซี ทำยอดขายได้เป็นอันดับ 4 ที่ 1,349,345 คันในปี 2554 เพิ่มขึ้น 24.3% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 10.6% และอันดับ 5 เป็นของฮอนด้า มอเตอร์ ที่ทำยอดขายได้ 1,147,285 คัน ลดลง 6.8% ด้วยส่วนแบ่งตลาด 9%
ส่วนยอดขายโดยรวมของผู้ผลิตรถยนต์กลุ่ม "บิ๊กทรี" ของสหรัฐ (จีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์) เพิ่มขึ้น 14.7% ในปี 2554 แตะระดับ 5,996,243 คัน ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมกันที่ 46.9% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่ 45.1%
สำหรับยอดขายรถยนต์ของบริษัทอื่นๆในญี่ปุ่นนั้น ยอดขายของนิสสัน มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 14.7% แตะที่ 1,042,534 คัน ในปี 2554 ด้วนส่วนแบ่งตลาด 8.2% ยอดขายของมาสด้า มอเตรอ์ เพิ่มขึ้น 9.1% แตะที่ 250,426 คัน ขณะที่ยอดขายของฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรี ผู้ผลิตรถแบรนด์ "ซูบารุ" ดีดตัวขึ้น 1.2% แตะที่ 266,989 คัน ยอดขายของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส พุ่งขึ้น 41.9% แตะที่ 79,020 คัน และยอดขายของซูซูกิ มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 10.9% แตะที่ 26,619 คัน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สาเหตุที่ทำให้ยอดขายของโตโยต้า มอเตอร์ ปรับตัวลดลงในปี 2554 มาจากการที่โตโยต้าต้องลดการผลิตที่โรงงานในอเมริกาเหนือเป็นเวลานานถึง 6 เดือน เนื่องจากภาวะขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์ อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม โตโยต้าคาดว่า ทางบริษัทจะสามารถทำยอดขายในตลาดสหรัฐได้เพิ่มขึ้น 15.5% แตะระดับราว 1.90 ล้านล้านคันในปี 2555 เพราะคาดว่าจะได้แรงหนุนจากการเปิดตัวรถยนต์ Camry รุ่นใหม่ รวมทั้งรถยนต์รุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม