แม้ปีนี้จะเป็นอีกปีโลกต้องประสบวิกฤตมรสุมทางการเงิน ไม่ว่าจากทางยุโรปที่เรื้อรังมาหลายปี หรือแม้แต่จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ก็เริ่มปรากฏภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่อาจบดบังความร้อนแรงของวงการไอทีโลกได้ ผู้ผลิตสินค้าไอทีต่างเพิ่มดีกรีความร้อนระอุในตลาดด้วยการปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่แบบชนิดที่ไม่ยอมน้อยหน้ากัน และที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในปีนี้คงหนีไม่พ้นตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งมีการแข่งขันอย่างคึกคัก ผู้ผลิตต่างออกผลิตภัณฑ์ รวมถึงการระบบปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ คงเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ในวงการอย่างแอปเปิ้ล อิงค์ ซัมซุง อิเล็คทรอนิคส์ และกูเกิ้ล อิงค์
แม้ปีนี้แอปเปิ้ลจะไร้เงาผู้บริหารบริษัทมือฉกาจอย่าง สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ซึ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปีที่แล้ว แต่ก็ยังเป็นอีกปีที่แอปเปิ้ลประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ภายใต้การคุมบังเหียนของทิม คุก ซีอีโอคนปัจจุบัน
สำหรับในช่วงต้นปีนี้ แอปเปิ้ลก็ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการออกแท็บเล็ตรุ่นใหม่อันดับ 3 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2555 โดยมีชื่อรุ่นว่า The new iPad ซึ่งเป็นชื่อที่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากมีหลายเสียงคาดการณ์ว่าแท็บเล็ตนี้อาจมีชื่อว่า iPad 3 สำหรับความแตกต่างที่ชัดเจนของ the new iPad คือความหนาของตัวเครื่อง ซึ่งเพิ่มเป็น 9.4 มม. ขณะที่ iPad 2 มีความหนา 8.8 มม. ทางด้านหน้าจอมีขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048x1,536 พิกเซล เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 2 เท่า และที่ขาดไม่ได้คือการจับเทคโนโลยีแสดงภาพ Retina Display มาแสดงผลในหน้าของ the new iPad ขณะเดียวกันแท็บเล็ตนี้ยังทำงานด้วย CPU A5X ซึ่งทางแอปเปิ้ลอ้างว่าแรงกว่า CPU Tegra 3 ถึง 10 เท่า และเหนือกว่า Apple A5 ถึง 2 เท่า
ถัดมาในเดือนมิ.ย. แอปเปิ้ลก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการมือถือรุ่นล่าสุด ในชื่อ iOS 6 ซึ่งมีการเผยโฉม Siri เวอร์ชั่นใหม่ ที่เพิ่มความสามารถให้สามารถเล่าข่าว ความเคลื่อนไหว ของกีฬา ภาพยนตร์ และอื่นๆ อีกทั้งยังรองรับภาษาได้เพิ่มเติม อาทิ สเปน อิตาลี เกาหลี และจีนกลาง ขณะเดียวกัน iOS 6 ยังเพิ่มความสามารถของฟีเจอร์ FaceTime ให้สามารถคุยกันได้แบบเห็นหน้าตา ผ่านการใช้อินเทอร์เน็ตมือถือได้ จากเดิมในรุ่นก่อนที่สามารถใช้ FaceTime ได้ผ่าน Wifi เท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ iOS 6 ยังมีสิ่งที่น่าจับตามองนั่นคือ แอพพลิเคชั่น Maps ซึ่งเป็นโปรแกรมนำทาง ซึ่งออกโดยแอปเปิ้ลเอง แทนที่ Google Maps จากฝั่งกูเกิ้ลซึ่งอยู่ในอุปกรณ์ที่ใช้ iOS รุ่นก่อนๆ
หลังแท็บเล็ต และ iOS รุ่นใหม่ได้ออกโรงแล้ว ก็ถึงคราวแอปเปิ้ลออกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่บ้าง โดยช่วงกลางเดือนก.ย.ที่ผ่านมา แอปเปิ้ลเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone 5 ซึ่งมีจุดเด่นที่หน้าจอขนาดใหม่ที่กว้างกว่ารุ่นก่อน ด้วยขนาดจอ 4 นิ้ว ความละเอียด 1136x640 พิกเซล นอกจากนี้ iPhone 5 ยังรองรับซิมขนาดใหม่หรือ นาโนซิม (มีขนาดเล็กกว่าไมโครซิม และซิมดั้งเดิม) รวมทั้งยังใช้ที่ชาร์จแบบใหม่ 8 pin Lightning Port ที่มีขนาดเล็กลงกว่าหัวชาร์จอุปกรณ์แอปเปิ้ลรุ่นที่ผ่านมา และใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 6 หลังการเปิดตัว iPhone 5 ทางแอปเปิ้ลออกมาเปิดเผยในช่วงปลายเดือนเดียวกันว่า ทางบริษัทสามารถทำยอดขายโทรศัพท์รุ่นใหม่นี้ได้สูงถึง 5 ล้านเครื่องในการเปิดขาย 3 วันแรก ซึ่งสามารถทำลายสถิติยอดขาย iPhone 4S ซึ่งทำเอาไว้ 4 ล้านเครื่องในการเปิดขาย 3 วันแรกเช่นกัน
ปิดท้ายด้วยการเปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นเล็ก iPad mini เมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อตีตลาดแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว ที่ก่อนหน้านี้ กูเกิ้ล ซัมซุง และอเมซอนเคยแข่งกัน แม้ว่า iPad mini จะมีการลดสเปคลง เพื่อสามารถกดราคาให้ต่ำพอที่จะแข่งขันกับตลาดขนาดเล็กได้ เช่นการใช้ CPU Apple A5 (ขณะที่ the new iPad ใช้ CPU A5X) หรือการใช้หน้าจอเทคโนโลยีที่ต่ำกว่า Retina Display แต่ทางแอปเปิ้ลก็ยืนยันว่า ด้วยขนาดหน้าจอ 7.9 นิ้ว ทำให้แสดงผลได้มากกว่าแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว อาทิ Nexus 7 และ Kindle Fire
ปีนี้ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามองสำหรับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแดนกิมจิ ซึ่งสามารถตีตลาดได้ในระดับโลก แม้ว่าทางซัมซุงจะออกผลิตภัณฑ์มากมาย แต่หลายฝ่ายได้พุ่งความสนใจไปยังโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับว่าในปีนี้ ทางซัมซุงสามารถแข่งขันกับแอปเปิ้ล อิงค์ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมามีข่าวลืออย่างหนาหูว่าทางซัมซุงจะเปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ และก็เป็นไปตามคาด โดยเมื่อต้นเดือนต.ค. ทางซัมซุงได้เปิดตัวโทรศัพท์รุ่นเรือธง Samsung Galaxy S3 ภายใต้แนวคิด “Designed for Human, Inspired by nature" หรือในภาษาไทยคือออกแบบมาเพื่อมนุษย์ โดยแรงบรรดาลใจจากธรรมชาติ S3 มาพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างจาก Galaxy 2 ด้วยรูปทรงที่มีส่วนโค้งเว้ากว่าเดิม และขนาดที่ใหญ่ขึ้น ด้วยหน้าจอ HD Super AMULED ขนาด 4.8 นิ้ว แถมประสิทธิภาพการทำงานยังรวดเร็วขึ้นด้วย CPU แบบ Quardcore 1.4 GHz (เมื่อเทียบกับ CPU แบบ Dualcore ใน Galaxy S2) โดยในการเปิดตัวครั้งแรก ซัมซุงวางจำหน่าย Galaxy S3 โดยมีให้เลือก 2 สีได้แก่ Marble white และ Pebble Blue แต่หลังจากนั้นทางซัมซุงก็ได้ออกวางจำหน่าย Galaxy S3 สีอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ amber brown, garnet red, sapphire black และ titanium gray สำหรับฟีเจอร์โดดเด่นซึ่งมาพร้อมโทรศัพท์เรือธงเครื่องนี้ที่น่าสนใจได้แก่ “Smart Stay" ทำให้เครื่องสามารถจับได้ว่าตาของผู้ใช้ยังคงจ้องที่เครื่องอยู่ หากยังคงจ้องอยู่หน้าจอจะยังไม่ดับ และฟีเจอร์ Direct Call เพียงเราเข้าไปที่รายชื่อคนที่ต้องการติดต่อ แล้วแนบหูกับ Galaxy S3 ก็จะสามารถโทรออกได้อย่างอัตโนมัติ ด้านการแชร์ข้อมูล Galaxy S3 ยังมีฟีเจอร์ S Beam ซึ่งสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็วผ่าน NFC ทั้งนี้ยอดขายของ Galaxy S3 ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ซัมซุง โดยเมื่อต้นเดือนพ.ย. ทางซัมซุงได้ประกาศว่ายอดขายมือถือรุ่นนี้ทะลุหลัก 30 ล้านเครื่องแล้ว นับเป็นอัตราการขยายตัวด้านยอดขายที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาของซัมซุง
ต่อมาในปลายเดือนส.ค. ทางซัมซุงก็ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถืออีกรุ่น ในชื่อ Galaxy Note 2 ตามรอยการเปิดตัว Galaxy note ในปีก่อนหน้า ซึ่งในรุ่นนี้ยังคงมาพร้อมปากกา S-Pen และมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นขนาด 5.5 นิ้ว มาพร้อมกับเทคโนโลยีแสดงภาพ HD Super AMOLED และมีความจุแบตเตอรี่อึดขึ้นเป็น 3,100 MaH นอกจากนี้ Galaxy Note 2 ยังทำงานได้เร็วขึ้นด้วยการใช้ CPU Quardcore 1.6 GHZ ตัวเดียวกับที่อยู่ใน Galaxy S3 อาจพูดได้ว่าเป็นมือถือขยายส่วนมาจาก Galaxy S3 ก็ว่าได้ ด้วยคุณสมบัติเครื่องที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ Note 2 ก็ยังมีฟีเจอร์ที่แตกต่างจากมือถือรุ่นก่อนๆ ได้แก่ “Air View" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สามารถตรวจจำตำแหน่งการลอยเหนือจอของปากกา S-pen ได้ ในขณะที่ปากกาลอยอยู่เหนือโฟลเดอร์ต่างๆ อาทิ โฟลเดอร์วีดิโอหรือรูปภาพ เครื่องจะสามารถพรีวิวโฟลเดอร์นั้นได้โดยไม่ต้องจิ้มจอเพื่อเข้าไปดู ทั้งนี้มีการรายงานว่ายอดขายของ Galaxy Note 2 นั้น ทะลุ 5 ล้านเครื่องทั่วโลกในปลายเดือนพ.ย. หลังเปิดตัวไปแล้ว 37 วัน และคาดว่าสิ้นปีจะสามารถทำยอดขายแตะหลัก 7 ล้านเครื่อง
สำหรับกูเกิ้ลเองแม้จะไม่มีความโดดเด่นมากในเรื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากนัก เมื่อเทียบกับแอปเปิ้ล อิงค์ และซัมซุง อิเล็คทรอนิคส์ แต่ก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการออกระบบปฏิบัติการ Android เพื่อรองรับการทำงานข้อโทรศัพท์มือถือเจ้าดังอย่าง Samsung HTC Sony และ LG เป็นต้น
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กูเกิ้ลเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android 4.1 Jelly bean ซึ่งทำให้การแสดงผลบนหน้าจอ (UI) สามารถทำงานได้อย่างไหลลื่นขึ้น อีกทั้งยังสามารถฝัง widget (หนังต่างซึ่งแสดงผลใน UI) ในแถบการแจ้งเตือนได้แล้ว นอกจากนี้ยังมาพร้อม Voice Search บริการค้นหาในรูปแบบเสียง ซึ่งคล้ายคลังกับ Siri จากฝั่งแอปเปิ้ล
และในวันเดียวกัน กูเกิ้ลยังไม่ได้เปิดตัวแท็บเล็ตของตัวเองอย่างเป็นทางการในชื่อว่า Nexus 7 ซึ่งคราวนี้ถึงคิวของ Asus ที่ได้รับมอบหมายในการผลิตอุปกรณ์ Pure Google ชิ้นนี้ สำหรับ Google Nexus 7 เป็นแท็บเล็ตที่แอปเปิ้ลหวังเจาะตลาดล่างของแท็บเล็ตราคาย่อมเยา ด้วยความหวังที่จะสามารถแบ่งส่วนแบ่งตลาดมาจากแท็บเล็ตจากฝั่งแอปเปิ้ลได้ และด้วยต้นทุนชิ้นส่วนในเครื่องซึ่งมีราคาถูก อาทิ แพลตฟอร์ม Kai ของ Nvidia ซึ่งประกอบด้วย Tegra 3 CPU จึงทำให้แท็บเล็ตเปิดตัวโดยประเดิมราคาที่ 199 ดอลลาร์ หรือ 6,000 บาทเท่านั้น สำหรับคุณสมบัติของเครื่องนั้น Nexus 7 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 4.1 Jelly Bean มีกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สามารถโอนข้อมูลผ่าน NFC และสามารถต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน wifi
ถัดมาในวันที่ 29 ต.ค. ทางกูเกิ้ลก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android 4.2 ซึ่งยังคงใช้โค้ดเนม Jelly bean โดยระบบปฏิบัติการณ์นี้เพิ่มฟีเจอร์การถ่ายรูปแบบ 360 องศา ซึ่งสามารถแชร์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค Google+ ได้ ขณะเดียวกันในเวอร์ชันนี้ก็ได้มีการปรับปรุงระบบการพิมพ์ที่เร็วขึ้น ซึ่งเรียกว่า Gesture Typing
ในวันเดียวกันกูเกิ้ลยังเปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Nexus 4 ซึ่งผลิตโดย LD ทำงานด้วยชิป Qualcomm Snapdragon S4 Pro Quadcore หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1280x768 พิกเซล ซึ่งมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 4.2 Jellybean โดย Nexus 4 เปิดตัว เริ่มต้นเพียง 299 ดอลลาร์ (ความจุ 8 กิกะไบต์) ไม่เพียงเท่านี้ กูเกิ้ลยังเปิดตัวแท็บเล็ต Nexus 10 ซึ่งผลิตโดยซัมซุง ซึ่งมีหน้าจอขนาด 10 นิ้ว และมีความละเอียด 2560x1600 พิกเซล ทำงานด้วยชิป Exynos 5 Dual ((Exynos 5250) และใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.2 Jelly Bean สนนราคาที่ 499 ดอลลาร์ (ความจุ 16 กิกะไบต์) อีกทั้งกูเกิ้ลยังเปิดตัวแท็บเล็ต Nexus 7 รุ่น 3G ในวันดังกล่าว ซึ่งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งสามรุ่นนี้เริ่มเปิดจำหน่ายในวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา
สำหรับในปีหน้าคาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะยังคงร้อนแรงต่อไป หลังเริ่มมีกระแสคาดการณ์ในปีนี้แล้วว่า ในปีหน้าทางแอปเปิ้ลน่าจะมีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ ซึ่งอาจมีชื่อว่า iPhone 5S ขณะที่ฝั่งซัมซุงก็คาดว่า จะมีการเปิดตัว Samsung Galaxy S4 จากการเปิดเผยภาพหลุดชิ้นส่วน และกรอบของตัวเครื่อง ซึ่งเราต้องติดตามกันต่อไป