มิตรผล ตั้งงบลงทุน 1.8 หมื่นลบ.เน้นทุกธุรกิจ-ยังไม่มีแผนเข้าตลาดฯ

ข่าวเศรษฐกิจ Friday May 8, 2015 14:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า บริษัทได้เตรียม
งบลงทุนในปีนี้ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท สำหรับใช้การลงทุนในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำตาล และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามแม้จะมีการลงทุนจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังไม่มีแผนที่จะระดมทุนด้วยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะยังมีเงินลงทุนเพียงพอในการขยายงานและมีศักยภาพในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน

สำหรับเงินลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจส่งเสริมและพัฒนาอ้อย จำนวน 159 ล้านบาท ,การลงทุนในกลุ่มธุรกิจน้ำตาล 8.07 พันล้านบาท แบ่งเป็นการใช้ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในภาคอีสาน 7.8 พันล้านบาท และงบลงทุนสำหรับกิจกรรมการตลาด 205 ล้านบาท ,การลงทุนในกลุ่มธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ใช้งบลงทุน 2.9 พันล้านบาท

การลงทุนในกล่มุธุรกิจพลังงานหมุนเวียน จะใช้งบลงทุน 3.94 พันล้านบาท แบ่งเป็น การสร้างโรงไฟฟ้ามิตรผลไบโอ-เพาเวอร์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 45 เมกะวัตต์ และการสร้างโรงงานผลิตเอทานอลมิตรผล ไบโอฟูเอลกาฬสินธุ์ 2 กำลังการผลิต 82 ล้านลิตร/ปี โดยทั้ง 2 โรงงานดังกล่าวใช้เงินลงทุนราว 2.7 พันล้านบาท ส่วนเงินลงทุนอีก 1.24 พันล้านบาท จะใช้ลงทุนโรงไฟฟ้าในภาคใต้ที่ใช้ไม้ยางที่หมดอายุมาผลิตไฟฟ้า จำนวน 9.9 เมกะวัตต์ การลงทุนโซลาร์ฟาร์ม 2 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกอ้อยได้ และลงทุนสร้างอาหารสัตว์ Fooder Yeast 9,000 ตัน/ปี

สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนในต่างประเทศมีจำนวน 2.74 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนในจีน 2.1 พันล้านบาท โดยจะเป็นการเพิ่มจำนวนการขนถ่ายอ้อยจากสถานีขนถ่ายเพิ่มเป็น 270 ตัน/วันในปีนี้ จากปีก่อนที่สามารถขนถ่ายอ้อยได้ 134 ตัน/วัน นอกจากนี้ยังจะใช้ขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าในจีนเป็น 64 เมกะวัตต์ จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 32 เมกะวัตต์ และลงทุนในประเทศออสเตรเลีย 600 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายปริมาณการหีบอ้อยเพิ่มเป็น 536 ตัน/วัน จากเดิมที่ 503 ตัน/วัน

โดยเงินลงทุนในปีนี้จะมาจากทุนของบริษัทส่วนหนึ่งและเงินกู้ยืมสถาบันการเงินอีกส่วนหนึ่ง และการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในปีนี้นั้นจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งที่มากขึ้นและสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มมิตรผล

ส่วนการนำกลุ่มมิตรผลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็น แม้ว่าขณะนี้จะมีบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลหลายรายได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯไปค่อนข้างมากแล้วก็ตาม เนื่องจากบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยตัวเอง และไม่มีความจำเป็นมากในการระดมเงินทุนขณะนี้ เพราะบริษัทมีการลงทุนอย่างรอบคอบและมีความระมัดระวัง ประกอบกับยังมีความสามารถในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงมีเงินทุนที่ยังเพียงพอที่จะใช้ในการลงทุน

นายกฤษฎา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 58 อยู่ที่ 8.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 8.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นผลมาจากปริมาณการหีบอ้อยที่เพิ่มขึ้นเป็น 20.67 ล้านตัน/ปี จากปีก่อนที่ 20.13 ล้านตัน/ปี และกำลังการผลิตน้ำตาลของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.4 ล้านตัน/ปี จากปีก่อนที่ 2.3 ล้านตัน/ปี แต่ราคาน้ำตาลที่ยังอยู่ในระดับต่ำและไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นนั้นยังเป็นปัจจัยกดดันต่อรายได้ของบริษัทอยู่

โดยปัจจุบันราคาน้ำตาลในตลาดอยู่ที่ 13 เหรียญ/ปอนด์ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทในช่วง 1-2 ปีนี้จะเติบโตไม่มากนัก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ต่อปี ลดลงจากช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาที่มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบด้านราคาน้ำตาลที่อยู่ในระดับต่ำ แต่การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ช่วยให้การส่งออกของบริษัทเติบโตอย่างมาก

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทประมาณ 60-70% ของรายได้รวมมาจากธุรกิจน้ำตาลเป็นหลัก ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตน้ำตาลอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลอันดับ 4 ของโลก ส่วนสัดส่วนรายได้ประมาณ 30% เป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน

นายกฤษฎา คาดว่าในปี 59 รายได้รวมของบริษัทนั้นจะสามารถแตะระดับ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่เคยคาดว่าจะมีรายได้แตะระดับ 1 แสนล้านบาทในปี 60 เป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตน้ำตาลของโรงงานในจังหวัดกาฬสินธุ์ที่จะแล้วเสร็จและสามารถเดินเครื่องผลิตได้ในช่วงต้นปี 59 ผลักดันปริมาณการผลิตน้ำตาลของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มของราคาน้ำตาลในตลาดโลกคาดว่าจะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นนั้นจะมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ