นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนสำหรับการลงทุนในโครงการสำคัญในปี 61-62 โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการและบางส่วนกำลังเตรียมการ ทั้งลงทุนเองโดยตรงและลงทุนผ่านบริษัทในเครือ เบื้องต้นคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 24,700 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนทั้งจากการดำเนินงานของบริษัทเอง การกู้ยืม และจากผู้ร่วมทุน โดยการลงทุนจะมีทั้งการพัฒนาโรงไฟฟ้าในมือที่มีอยู่ การตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจไบโอดีเซล เป็นต้น
โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับราว 2.1-2.2 เท่า ซึ่งจะรักษาไว้ไม่ให้เกินที่ระดับ 3.5 เท่า และยังมีกระแสเงินสดหมุนเวียนจากการดำเนินงานกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเพียงพอต่อการลงทุน ส่วนเรื่องการออกหุ้นกู้บริษัทคาดว่าจะมีความชัดเจนปลายเดือน ก.พ. นี้หลังการประชุมคณะกรรมการบริหารที่จะเกิดขึ้น
ด้านภาพรวมการดำเนินงานในปี 61 บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการรับรู้รายได้โครงการพลังงานลมหาดกังหัน ขนาดกำลังการผลิต 126 เมกะวัตต์ (MW) ได้เต็มปี และบริษัทคาดว่ากำลังการผลิตโรงไฟฟ้าทั้งโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะขยับขึ้นเป็น 664 เมกะวัตต์ หลังในช่วงปลายปีนี้จะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม หนุมาน ขนาดกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างโครงการหนุมานมีความคืบหน้าตามแผนงานเป็นอย่างดี โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างฐานรากก่อนที่จะทำการติดตั้งกังหันลมต่อไป
ทั้งนี้ ตามปกติในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. จะเป็นช่วง high season ของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งผลประกอบการก็สะท้อนกับข้อมูลที่วัดได้ โดยมีประสิทธิภาพที่สามารถทำได้ดีเกินคาดที่ 28.56% จากที่คาดไว้ราว 20-25% และมองว่าในปี 61 นี้ในเดือน ก.พ. น่าจะดีกว่าเดือน ม.ค. ด้วย
ส่วนสายธุรกิจไบโอดีเซลคาดว่าปริมาณการขายจะเติบโตจากเดิมเล็กน้อยตามภาวะตลาด ทั้งนี้ในปี 61-62 บริษัทจะมุ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จึงได้เตรียมการลงทุนภายใต้สายธุรกิจนี้ด้วยงบลงทุนราว 2,000 ล้านบาท เพื่อผลิตทั้งไบโอดีเซล กรีนดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้ต่าง ๆ
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมีจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 65% และธุรกิจไบโอดีเซล 35% จากเดิมที่ปี 60 รายได้มาจากธุรกิจไฟฟ้า 61% และธุรกิจไบโอดีเซล 39%
ส่วนโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายใต้เครื่องหมายการค้า "EA Anywhere" ได้เริ่มทะยอยเปิดให้บริการแล้ว และทำการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อนเพื่อติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั่วประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 1,000 สถานีในปีนี้ ภายใต้งบลงทุนทั้งสิ้น 800 ล้านบาท โดยจะลงทุนในปีนี้ประมาณ 700 ล้านบาท
นายอมร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่เฟส 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ซึ่งได้ทำการออกแบบเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีกำหนดเสร็จและเริ่มมีรายได้ในกลางปี 62 โดยต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดสำหรับรองรับโรงงานขนาด 50 GWh ด้วย โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนในธุรกิจนี้ราว 4,000 ล้านบาทสำหรับเฟสนี้ เป็นการผลิตแบตเตอรี่เพื่อมุ่งเน้นการนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าเป็นหลัก และได้เริ่มทำการทดลองกับระบบย่อยที่ลำปางเพื่อเก็บข้อมูลแล้ว ซึ่งถ้ามีความสเถียร บริษัทก็มีแผนที่จะนำทั้งแบตเตอรี่และไฟฟ้าไปขายในต่างประเทศด้วย อาทิ อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
นอกจากแผนการลงทุนต่าง ๆ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคต โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในปีนี้รวม 300 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับธุรกิจในกลุ่มซัพพลายเชนชิ้นส่วนยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 62 ตามตารางที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดโอกาสในการทำธุรกิจร่วมทุนและเข้าซื้อกิจการด้วย โดยตั้งเป้าหมายรักษาระดับอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไว้ไม่ต่ำกว่า 18%