ผลการวิจัยชิ้นใหม่จาก Mintel ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความต้องการและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของผู้บริโภค เปิดเผยว่า 28%* ของผู้บริโภคชาวไทยกล่าวว่า ตัวเองไม่ได้ พิจารณาส่วนผสมของผลิตภัณพ์เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ในขณะเดียวกันผู้บริโภครู้จักส่วนผสมเพียง 3 (จาก 10 ส่วนผสมที่ทำการสำรวจ) ของส่วนผสมตามฟังก์ชั่นในหมวด BPC ได้แก่ เปปไทด์ (44%) เซราไมด์ (41%) และเรตินอล (38%)
แม้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะอ้างว่าตนเองรู้จักส่วนผสมด้านฟังก์ชั่นในผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้อยู่ แต่ในทางกลับกันนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ยังค่อนข้างที่จะ ตามหลังอยู่ เราสามารถพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสได้ โดย Mintel Global New Products Database (GNPD) ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นหลักๆ ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ได้มีการเปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงมกราคม 2564 ในตลาดประเทศไทยว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพียง 10% มีส่วนผสมของเซราไมด์ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์และเรตินอลมีเพียง 3% และ 1% ตามลำดับ
นายพงศ์พีระ มิตรธรรมพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการรายงานผู้บริโภคด้านความงาม ภูมิภาคเอเชียใต้ที่ Mintel กล่าวว่า กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อคการเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในประเทศไทยคือ การสร้างฐานการรับรู้เกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์" แบรนด์จำเป็นต้อง ผันมาเป็นให้ความรู้และเติมเต็มช่องว่างการรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลของส่วนผสมในผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้ดียิ่งขึ้น นับเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์จะต้องสร้างกลยุทธ์และยกระดับปัจจัยที่จะสร้าง ความสนใจให้กับผู้บริโภค เพื่อมอบความรู้เกี่ยวกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป
"แม้ว่า เปปไทด์ เซราไมด์ และเรตินอล จะเป็นส่วนผสมด้านฟังก์ชั่นที่ผู้บริโภคต่างรับรู้ มากที่สุด แต่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ กลับพูดถึงส่วนผสมดังกล่าวในตลาดน้อยมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเพิ่มหรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีส่วนผสมด้านฟังก์ชั่นในตลาดประเทศไทย เพื่อเพิ่มการรับรู้และความสนใจในเรื่องดังกล่าวในอนาคต นอกจากนั้นแบรนด์ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก รวมถึงความโปร่งใสและกลยุทธ์การให้ข้อมูลความรู้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่ดีกว่ากับผู้บริโภค และสุดท้ายเพื่อที่จะ ดึงดูดผู้บริโภคให้กลายเป็นลูกค้าของเรา"
โรคระบาดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาของผิวพรรณทั้งปัญหาที่มีอยู่เดิมและปัญหาใหม่ๆ จากงานวิจัยของ Mintel ชี้ให้เห็นว่า 70% ของผู้บริโภคเห็นด้วยว่า สิวที่เกิดจากการใส่หน้ากากอนามัยเป็นปัญหาผิวเรื้อรัง ในขณะที่ผู้บริโภคบางรายระบุว่ามลภาวะ (37%) และ แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ (16%) เป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังพบว่า มากกว่า 1 ใน 3 (34%) ของคนไทยเห็นด้วยว่าส่วนผสมที่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับสามารถแก้ปัญหาใหม่ๆเหล่านี้ได้ดีที่สุด
ยิ่งสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ศัตรูด้านความงามใหม่ ๆ ก็จะยิ่งเกิดขึ้นตามมาเรื่อย ๆ ในขณะที่โรคระบาดทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปและทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณใหม่ ๆ เช่น การใส่หน้ากาก ที่ทำให้ผิวหนังระคายเคืองจากมลภาวะ และ แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ ที่เป็นอันตรายต่อผิว แน่นอนว่าผู้บริโภคพยายามมองหาวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป ซึ่งแบรนด์สามารถโฟกัสปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วรวบรวมปัญหาเหล่านี้มาใช้เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาทบทวนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของตนเองเสียใหม่ โดยแบรนด์ควรจะลองพิจารณาเรื่องส่วนผสมที่จะมาเป็นตัวเอกในการหาทางออกให้กับปัญหาของผู้บริโภค"
ในขณะที่วิธีแก้ปัญหาผิวพรรณแบบเดิมๆ กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งว่า จะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณได้จริงหรือไม่ ส่วนผสมด้านฟังก์ชั่นที่ได้รับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ให้สามารถเติมเต็มช่องว่างของปัญหาจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามยุคใหม่มากยิ่งขึ้น นายพงศ์พีระ กล่าวงตนเองเสียใหม่ โดยแบรนด์ควรจะลองพิจารณาเรื่องส่วนผสมที่จะมาเป็นตัวเอกในการหาทางออกให้กับปัญหาของผู้บริโภค"