ผลการสำรวจชี้ว่า 80% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยงที่มีส่วนร่วมในการสำรวจความคิดเห็น เชื่อว่า ความเครียดและภาวะหมดไฟมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจและพนักงานในปีนี้ ขณะที่ 72% เชื่อว่า ปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจและพนักงานอย่างมาก และ 75% ของผู้ตอบแบบสำรวจ เชื่อว่า ผู้คนคาดหวังเกี่ยวกับการดูแลพนักงานมากขึ้น ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ปัจจุบัน ภาวะหมดไฟในการทำงานและความเหนื่อยล้าถูกมองว่าเป็นความรับผิดชอบขององค์กรที่จะต้องบริหารจัดการมากยิ่งขึ้น
นพ.จามร เงินจารี ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวโดยเน้นย้ำถึงความรุนแรงของสถานการณ์ว่า สถานการณ์ในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับภาวะหมดไฟที่เกิดขึ้นในที่ทำงานทั่วโลก เราพบเห็นปัจจัยต่าง ๆ ที่ทับซ้อนกัน ซึ่งครอบคลุมถึงปริมาณงานที่มากขึ้น การขาดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและคาดเดาไม่ได้ ความท้าทายเหล่านี้ทำให้พนักงานต้องเผชิญกับสภาวะที่ไม่คุ้นเคยและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นสภาพที่ขอบเขตระหว่างการทำงานและความเป็นอยู่มีความคลุมเครือและไม่ชัดเจน ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นปัญหาที่แพร่หลายในหลายองค์กร จนถึงจุดที่องค์กรต้องหันมาใส่ใจและหาวิธีแก้ไขอย่างเร่งด่วน นายจ้างจะต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้และใช้มาตรการป้องกัน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงและต้นตอของอาการหมดไฟอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงพุ่งความสนใจไปที่การออกแบบเนื้องานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมของพนักงานและประสิทธิภาพการทำงานที่ยั่งยืน
อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำเพื่อจัดการกับภาวะหมดไฟของพนักงาน 5 ข้อ
1. ส่องสัญญาณภาวะหมดไฟ: จัดให้มีการพูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินสุขภาวะและค้นหาสัญญาณเริ่มต้นของภาวะหมดไฟในการทำงานตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงฝึกอบรมผู้จัดการให้สามารถแยกแยะสัญญาณของภาวะหมดไฟ ตลอดจนจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการสนับสนุนทีมงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ใช้มาตรการเชิงรุก: ใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อจัดการกับภาวะหมดไฟด้วยโครงการที่ช่วยสนับสนุนด้านสุขภาพจิต ซึ่งรวมถึงบริการให้คำปรึกษา หรือโครงการช่วยเหลือพนักงาน
3. ส่งเสริมความยืดหยุ่นในองค์กร: เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ด้วยการส่งเสริมให้พนักงานสามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว พร้อมทั้งจัดหาสิ่งสนับสนุนที่จำเป็นให้กับพนักงานที่ต้องการความช่วยเหลือ
4. วางแผนกลยุทธ์: จัดทำแผนการจัดการภาวะวิกฤตอย่างครอบคลุม ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ไขปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดโดยเฉพาะ รวมถึงกำหนดมาตรการในการจัดสรรงานในช่วงที่มีความกดดันสูง และจัดตั้งกลไกเพื่อเฝ้าติดตามและดูแลสุขภาวะของพนักงาน
5. ผนึกกำลังร่วมมือกัน: สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกกับองค์กร เพื่อนำความรู้ความชำนาญเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้รับมือกับความเครียดและเสริมสร้างสุขภาวะของพนักงาน