ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ส่งผลให้ยักษ์ใหญ่ด้านพีซีที่มีฐานการดำเนินงานอยู่ในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น เลอโนโว เอเซอร์ และเอซุส ต่างก็ออกมาคาดการณ์ถึงยอดขาดทุนในไตรมาส 4 ปี 2551
นำโดยเลอโนโวที่ประกาศว่าบริษัทเผชิญภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ในไตรมาส 3 ประจำปีงบการเงิน 2551 สิ้นสุดเดือนธ.ค. ส่งผลให้บริษัทต้องประกาศแผนการปรับโครงสร้างเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ตามด้วยเอซุสที่ประกาศตัวเลขกำไรลดลง และคาดการณ์ว่าผลขาดทุนของบริษัทในไตรมาส 4/51 จะอยู่ในช่วง 340 - 850 ล้านหยวน เมื่อเทียบกับการคาดการณ์กำไรก่อนหน้าที่ 1.75 พันล้านหยวน ซึ่งถือเป็นตัวเลขขาดทุนครั้งแรกในรายไตรมาสนับตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเลยทีเดียว
ด้านเอเซอร์ ผู้ผลิตพีซีรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ได้ประกาศเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ว่า รายได้ของบริษัทในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว อาจลดลง 5-10 % แต่บริษัทยังคงคาดการณ์การขยายตัวด้านกำไรจากการดำเนินงานการรายไตรมาสเอาไว้เช่นเดิม
ซินหัวรายงานว่า ทั้ง 3 บริษัทต่างให้เหตุผลเรื่องผลประกอบการที่ย่ำแย่ อันเนื่องมาจากวิกฤตการเงินโลก โดยเลอโนโวระบุว่า นับตั้งแต่ที่บริษัทหันมาพุ่งเป้าที่การทำกิจกรรมในเชิงพาณิชย์อย่างมาก บริษัทก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากอันเนื่องมาจากยอดการบริโภคที่หดตัวลง รวมทั้งการขยายตัวในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ซบเซา
ส่วนเอซุสก็ได้รับผลกระทบจากสินค้าค้างสต็อกจำนวนมากและสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ แต่เอเซอร์มีมุมมองที่เป็นบวกกว่า โดยไหล ไถ่หยู ผู้จัดการทั่วไปของเอเซอร์ ไชน่า กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากจากการบริหารต้นทุนและการควบคุมสินค้าคงคลัง และคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ในไตรมาส 4 ปีหน้า
แม้ว่า บริษัทผู้ผลิตพีซีอย่างเอชพีและเดลล์จะไม่ได้ออกมาเตือนเรื่องตัวเลขผลกำไรของบริษัท แต่รายงานผลประกอบการก่อนหน้านี้ก็ชี้ให้เห็นว่า รายได้ของบริษัทมีการขยายตัว แต่กำไรลดลง
ภายใต้สถานการณ์ดีมานด์ที่อ่อนตัวลงเช่นนี้ อุตสาหกรรมพีซีจึงเรียกได้ว่ากำลังเผชิญกับยุค "Ice Age" อย่างชัดเจน