บีจี กรุ๊ป พีแอลซี ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่สุดอันดับ 3 ของอังกฤษเผยผลกำไรไตรมาส 3 ร่วงลง 44% เนื่องจากความต้องการเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวยังคงอยู่ในระดับต่ำ
โดยกำไรสุทธิของบีจีปรับตัวลดลง 484 ล้านปอนด์ (791 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 857 ล้านปอนด์ในปีก่อนหน้านี้
นักวิเคราะห์จากบริษัท Sanford C. Bernstein & Co. กล่าวว่า "ราคาก๊าซ LNG เริ่มมาถึงจุดต่ำสุดในเดือนก.ค. แต่แท้จริงแล้ว ยังอยู่ในระดับที่สามารถอาจกล่าวได้ว่ากำลังเผชิญแรงกดดันมากกว่า"
ราคาก๊าซธรรมชาติในเอเชียร่วงลงมาอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเชื้อเพลิงรายใหญ่สุดของโลกปรับตัวลดลง
บีจีเป็นบริษัทด้านพลังงานที่รายงานผลกำไรลดลงเช่นเดียวกับบริษัทบีพีที่เปิดเผยรายได้สุทธิไตรมาส 3 ซึ่งทรุดตัว 34% แตะที่ระดับ 5.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ขณะที่รอยัล ดัชท์ เชลล์จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้
ทั้งนี้ หุ้นบีจีปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นบีพีขยายตัว 13% ส่วนหุ้นเชลล์เดินหน้า 7.1%
แฟรงก์ แชปแมน ซีอีโอของบีจีกล่าวในเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้เบนเข็มการดำเนินธุรกิจในกลุ่มก๊าซ LNG ให้สอดคล้องกับอุปสงค์ก๊าซที่ลดลงจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดยบริษัทจะจัดหาก๊าซ LNG ในสัดส่วน 80% ของสัญญาการจัดหาก๊าซในปีนี้ ก่อนที่จะลดลงเหลือ 75% ในปีหน้า
ขณะเดียวกัน ในส่วนของผลผลิตน้ำมันนั้น บริษัทมีผลผลิตในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น 5% แตะที่ 615,000 บาร์เรล/วัน และกำลังเร่งเพิ่มผลผลิตน้ำมันให้ได้ถึง 700,000 บาร์เรล/วัน หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้านี้