อัตราการเต้นของชีพจรในตลาดไอทีรัวถี่แรงขึ้น เมื่อการมาถึงของ "Windows 7" ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของไมโครซอฟท์ได้ปลุกกระแสความร้อนแรงด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ทั่วโลกได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการดังกล่าวไปพร้อมกันเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา
กระแสความแรงของ Windows 7 ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างสีสันให้กับตลาดไอทีเท่านั้น แต่ยังระบาดไปยังวงการอาหารฟาสต์ฟูดส์ เมื่อไมโครซอฟท์แดนซากุระ ปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดจับมือกับ เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเมนูแฮมเบอร์เกอร์รุ่นพิเศษ "Windows 7 Whopper" ที่อัดแน่นด้วยชิ้นเนื้อเรียงซ้อนกัน 7 ชั้น สนนราคาอิ่มอินเทรนด์ที่ 777 เยน แถมยังจำหน่ายแค่ 7 วัน (22-28 ตุลาคม 2009) เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
ฟากฝั่งชาวไทยหัวใจไอทีก็ไม่น้อยหน้า ต่างพากันหลั่งไหลไปร่วมฉลองการเปิดตัว Windows 7 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อร่วมพิสูจน์การทำงานของระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ภายใต้สโลแกน "ชีวิตที่ง่ายได้อีก" และก็เป็นที่ฮือฮาไม่น้อยเมื่อคุณป้ายุคใหม่หัวใจไอทีวัย 52 ปี เป็นลูกค้าคนแรกในประเทศไทยที่ได้ครอบครองระบบปฏิบัติการดังกล่าว
จากจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ภายใต้รหัส "Windows" ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเวลา 23 ปี และครองความนิยมในตลาดพีซีได้กว่า 90% แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าพัฒนาการบางช่วงบางตอนของระบบดังกล่าวตั้งแต่ขวบปีแรกจนถึงปีนี้เป็นเช่นไร เราขอเชิญให้ทุกท่านร่วมหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน ณ บัดนี้...
Windows 1.0
ปี 1985 ไมโครซอฟท์ปลุกปั้น "ศิษย์รุ่นแรก" ของหลักสูตร "Microsoft Windows" ภายใต้มันสมองและสองมือพร้อมตั้งชื่อเรียบง่าย ตรงไปตรงมาว่า Windows 1.0 ซึ่งในยุคบุกเบิกนี่ที่เองทำให้ทั่วโลกได้รู้จักกับระบบ Windows ที่ทำงานบนระบบพื้นฐานดอส (DOS) โดยแรกเริ่มเดิมทีบิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งสำนักไมโครซอฟท์ประกาศเปิดตัว Windows 1.0 เป็นครั้งแรกในปี 1983 แต่กำหนดการดังกล่าวต้องล่าช้าออกไป เพราะเกิดข้อขัดแย้งทางกฎหมายกับสำนักแอปเปิล คู่ปรับตลอดกาล ที่กล่าวหาว่า ไมโครซอฟท์ ลอกเลียนแบบโปรแกรมบางส่วนของแอปเปิลไปใช้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
Windows 95, Windows 98
ปี 1995 ไมโครซอฟท์ฟูมฟัก "ศิษย์รักสร้างชื่อ" นาม Windows 95 จนสามารถสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างสะดวกสบายและง่ายมากขึ้น ด้วยการเพิ่มโปรแกรมท่องอินเทอร์เน็ต "Internet Explorer" หรือ IE พ่วงติดมาด้วยเป็นครั้งแรก รวมถึงฟังก์ชันใหม่ๆ ที่ใส่เข้ามาอีกหลายตัว อาทิ เมนู Start Button และ Taskbar จนกลายเป็นมาตรฐานของ Windows มาจนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่จะปล่อย Windows 98 ออกมาในอีก 3 ปีให้หลัง แต่ถึงกระนั้น ศิษย์รักทั้งสองรุ่นยังคงเผชิญกับปัญหาหนักอกด้านระบบความปลอดภัย
Windows ME, Windows 2000
ปี 2000 ไมโครซอฟท์ส่ง "ศิษย์รุ่นใหม่ยุค Y2K" อย่าง Windows ME หรือชื่อเต็มว่า Windows Millennium เพื่อต้อนรับสหัสวรรษใหม่ในปี 2000 แต่แล้วไมโครซอฟท์ก็ต้องช้ำใจ เมื่อมีผู้ตั้งชื่อรุ่นนี้ให้ใหม่ว่า "Mistake Edition" หรือวินโดวส์รุ่นผิดพลาด เพราะคุณสมบัติการใช้งานต่ำกว่ามาตรฐาน แถมระบบยังล่มบ่อย ขณะที่บรรดากูรูในแวดวงไอทีมองว่าระบบปฏิบัติการรุ่นนี้มิได้เป็น "นวัตกรรมใหม่" อย่างที่ไมโครซอฟท์เคยป่าวประกาศไว้ หากแต่เป็นได้แค่พัฒนาการต่อเนื่องที่ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีไปกว่ารุ่นก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
Windows XP
ปี 2001 ไมโครซอฟท์ภูมิใจเสนอ "ศิษย์โปรด" ที่ทุกคนปลื้มในชื่อ Windows XP ซึ่งย่อมาจากคำว่า Experience หรือ "ประสบการณ์" ด้วยนัยที่แฝงไว้สองประการ กล่าวคือ 1. เป็นระบบปฏิบัติการที่หล่อหลอมจากประสบการณ์อันยาวนานของไมโครซอฟท์ 2. เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆแก่ผู้ใช้ ผ่านการปรับอินเตอร์เฟซ พัฒนาระบบการใช้งานที่เป็นมิตร ยกระดับการจัดการไฟล์ ปรับปรุงระบบให้มีความเสถียรมากขึ้น รวมถึงใช้เวลาประมวลผลการทำงานเร็วกว่ารุ่นก่อนๆ ตลอดจนเพิ่มคุณสมบัติบลูทูธ (Bluetooth) เป็นครั้งแรกเพื่อช่วยให้อุปกรณ์เสริม อุปกรณ์พกพา และโทรศัพท์มือถือสามารถติดต่อกับเครื่องพีซีได้อย่างไร้สาย นอกจากนี้ ยังออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น กล้องดิจิตอล เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้สำหรับย้ายไฟล์จากพีซีสู่อินเทอร์เน็ต หรือจากอินเทอร์เน็ตสู่พีซี จนทำให้ขณะนี้ Windows XP ขึ้นทำเนียบเป็นระบบปฏิบัติการที่มีอายุจำหน่ายยาวนานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไมโครซอฟท์
Windows Vista
ปี 2007 อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคเสื่อมอำนาจของไมโครซอฟท์ เมื่อลูกศิษย์ลูกหาอย่าง Windows Vista ทำงามหน้าให้สำนักไอทีแห่งนี้ต้องถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย เพราะหลังจากที่บริษัทโหมโปรโมท พร้อมทุ่มงบด้านการตลาดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อหวังให้เวอร์ชั่นนี้ดัง "เปรี้ยงปร้าง" แต่กระแสตอบรับกลับ "แป๊ก" อย่างไม่เป็นท่า เพราะผู้ใช้ต่างส่ายหน้าไม่เอาวิสต้ากันทั้งนั้น ทั้งๆที่ไมโครซอฟท์ใช้เวลาบ่มเพาะพัฒนาเวอร์ชั่นนี้มานานถึง 6 ปีเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญที่ตอกย้ำให้ภาพลักษณ์ของ Windows Vista ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก ก็เมื่อครั้งที่นิตยสารไทม์ฉบับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เปิดเผยชื่อของ Windows Vista ว่าติด 1 ใน "10 อันดับไอทีตกกระป๋อง" จากจุดนี้เองที่ไม่เพียงแค่ทำคนทั่วไปกลัวๆกล้าๆที่จะใช้ Windows Vista แต่ลูกค้าเก่าของไมโครซอฟท์ที่เคยนิยมชมชอบ XP มากกว่ารุ่นไหนๆ ยังแอบปันใจใช้ระบบปฏิบัติการของสำนักคู่แข่งอย่างแอปเปิลไปเสียดื้อๆ
Windows 7
ปี 2009 ถึงเวลาไมโครซอฟท์ยืดอกอวดโฉม "ศิษย์รักคนล่าสุด" Windows 7 เพื่อลบล้างคำครหาจาก Windows เวอร์ชั่นก่อนนี้ที่มีแต่จุดบอดเต็มไปหมด และก็ดูเหมือนว่า ไมโครซอฟท์จะสามารถล้างอายได้สำเร็จ เมื่อผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต่างตอบรับเวอร์ชั่นใหม่กันอย่างล้นหลาม พิสูจน์ได้จากยอดสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Amazon.com ที่ทำให้ ผลิตภัณฑ์จาก "โรงเรียนไอที" ของไมโครซอฟท์ ทำลายสถิติมียอดสั่งซื้อสูงสุดแซงหน้านิยายพ่อมดน้อยแฮร์รี่ พอตเตอร์ จาก "โรงเรียนเวทมนต์ฮอกวอตส์" ไปเรียบร้อยแล้ว
บิล เกตส์ จ้าวสำนักไมโครซอฟท์ และสตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอคนสำคัญได้ช่วยกันผลักดันศิษย์รักคนใหม่ที่พวกเขาขัดเกลามาอย่างดี โดยชูจุดเด่นด้านระบบสัมผัส "มัลติทัช" หรือการสั่งงานบนจอภาพ ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่า ฟังก์ชันดังกล่าวจะช่วยปฏิวัติการใช้งานพีซีครั้งใหญ่ให้กลายเป็นระบบปฏิบัติการ "พันธุ์มือ" ไม่พึ่ง "เม้าส์" อีกต่อไป พร้อมข่มขวัญคู่แข่งรายใหญ่อย่างค่ายแอปเปิลว่า แม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นหัวหอกในการพัฒนาระบบทัชสกรีนมาก่อน แต่ผลกระทบต่อตลาดโลกนั้น พวกตนเหนือกว่าเป็นไหนๆ เพราะแค่ในปีนี้ แอปเปิลขายคอมพิวเตอร์ได้เพียง 10 ล้านเครื่อง แต่เครื่องพีซีที่ติดตั้งโปรแกรม Windows ทั่วโลกนั้นทำยอดขายได้ถึง 290 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว
นอกเหนือจากฟังก์ชั่นมัลติทัชที่ดูเหมือนจะเป็นของใหม่สำหรับ Windows 7 จุดเด่นเรื่องการทำงานที่ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และง่ายขึ้น ก็นำมาซึ่งความพึงพอใจของผู้ใช้มากขึ้นเช่นกัน ดังเช่นที่สาวน้อย Kylie พรีเซนเตอร์โฆษณาของ Windows 7 ชุด Good News บอกกับเราว่า "ความสุขที่มากขึ้นจากการใช้ Windows 7 กำลังจะมา" แถมเธอยังอวดฝีไม้ลายมือการทำสไลด์โชว์ผ่านระบบ Windows Live Photo ที่ง่ายแสนง่าย ขนาดเด็ก 4 ขวบยังทำได้แบบไม่ต้องง้อมืออาชีพ (สามารถรับชมโฆษณาน่ารักดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ หรือจาก URL นี้ http://www.microsoft.com/windows/watchtheads/video/kylie/)
อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลเต็มรูปแบบ ซึ่งตอบโจทย์ที่ได้จากการวิจัย ทั้งยังเหนือชั้นด้วยฟอนท์ที่เพิ่มขึ้นและรองรับการใช้งานของผู้พิการทางสายตาและการได้ยิน ขณะเดียวกันก็อุดช่องโหว่เรื่องการใช้พลังงานอย่างมากของ Windows Vista รุ่นก่อน ทำให้ Windows รุ่นนี้กลายเป็นรุ่นที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม
กระแสของ Windows 7 ที่มาแรงตั้งแต่ออกตัว ทำให้บรรดาเซียนไอทีต่างขานรับกับการเปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่นี้อยู่ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากการรีวิวตามเว็บไซต์ต่างๆซึ่งล้วนปรากฏเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ ขณะที่นักวิเคราะห์ระดับเกจิจากหลายสำนักแสดงความเห็นต่อปรากฏการณ์ครั้งนี้กันอย่างหนาหู และหนึ่งในนั้นคือ เบรนแดน บาร์นิคัล จากบริษัทลงทุนและวิจัยแปซิฟิก ครัสต์ ซิเคียวริตี ที่กล่าวว่า "นับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกที่น่าพอใจมากของ Windows ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และนี่เป็นก้าวแรกสำหรับไมโครซอฟท์ที่จะดึงความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาเหมือนเดิม"
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อมีคนรักเท่าผืนหนัง ก็ย่อมมีคนชังเท่าผืนเสื่อ โดยเฉพาะนักวิจารณ์วงการไอทีฝีปากจัดจ้านบางรายมองว่า การโหมประโคมข่าว Windows 7 เที่ยวนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าหวังผลโฆษณาปั่นกระแสอวดลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ลูกเล่นดังกล่าวกลับไม่ก่อให้เกิดมรรคผลใดๆในการใช้งานคอมพิวเตอร์
ไม่ว่ากระแสวิจารณ์จะออกหัวหรือก้อย สตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ผู้มอบโน๊ตบุ๊คสีชมพูให้น้องหนู Kylie ในวันเปิดตัว Windows 7 เชื่อมั่นว่า ระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์รุ่นนี้จะช่วยกระตุ้นตลาดพีซีให้คึกคักมากขึ้น ซึ่งคำกล่าวของเขาสอดคล้องกับรายงานจากสำนักข่าวเกียวโดที่ว่า ขณะนี้บริษัทในญี่ปุ่นได้ส่งคำสั่งซื้อระบบปฏิบัติการ Windows 7 ล่วงหน้ามาแล้ว 163 ราย เมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าจากแค่ 18 บริษัท โดยนายยาสุยูกิ ฮิกุชิ ประธานไมโครซอฟท์ในญี่ปุ่น กล่าวว่า Windows 7 จะช่วยให้ตลาดพีซีและวงการเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าทำยอดขายในญี่ปุ่นให้ได้ 10 ล้านชุดในสิ้นปีหน้า และคาดว่าบริษัทใหญ่ราว 60% ของทั้งหมดจะใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวภายใน 3 ปี ขณะที่บรรดาผู้ผลิตพีซีหวังว่า ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นนี้จะช่วยเพิ่มยอดขายพีซีให้ได้ชื่นใจส่งท้ายปีวัว
สุดท้ายนี้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้งาน Microsoft Word เป็นกิจวัตร และจัดระเบียบข้อมูล-ตัวเลขด้วย Microsoft Excel หรือแม้แต่นำเสนองานในที่ประชุมผ่าน Power Point คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบปฏิบัติการของสำนักไมโครซอฟท์จากเมืองเรดมอนด์ วอชิงตันแห่งนี้ สนิทสนมคุ้นเคยกับเราอย่างดีจนกลายเป็นเพื่อนซี้ไปโดยปริยาย และในวันนี้ คุณพร้อมหรือยังที่จะเปิดรับและทำความรู้จักกับเพื่อนรักคนใหม่ที่ชื่อว่า Windows 7 ผู้ที่ไมโครซอฟท์บอกกับเราว่า เขาจะมาช่วยทำให้ชีวิตของเรา...ง่ายขึ้นกว่าที่เคย!