ไมโครซอฟท์ คอร์ป ปลื้มผลกำไรและรายได้ขยายตัวดีเกินคาด หลังบริษัทเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 เมื่อเดือนตุลาคม 2552
โดยบริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยว่า รายได้สุทธิประจำไตรมาส 2 ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา พุ่งสูงขึ้น 60% แตะระดับ 6.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 74 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับระดับ 4.17 พันล้านดอลลาร์ หรือ 47 เซนต์/หุ้นในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Windows 7 ไปเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งช่วยให้บริษัทมียอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบปี โดยเฉพาะเมื่อไตรมาสที่แล้ว ลูกค้าเริ่มซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) กันมากขึ้น หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นและผู้บริโภคได้อัพเกรดระบบปฏิบัติการ Windows เวอร์ชั่นใหม่ จากเดิมที่ใช้เวอร์ชั่น Windows Vista
นอกจากนี้ ยอดขายพีซีในสหรัฐที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows พุ่งสูงขึ้นราว 50% ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ซึ่งยอดขายระบบปฏิบัติการ Windows ยังช่วยชดเชยยอดขายที่ซบเซาในธุรกิจอื่นๆของไมโครซอฟท์ได้ด้วย
ปีเตอร์ ไคลน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของไมโครซอฟท์กล่าวถึงรายงานผลกำไรที่สดใสในครั้งนี้ว่าได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ผู้บริโภคที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อพิจารณาจากยอดขาย Windows ที่มาจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยมากกว่ากลุ่มลูกค้าองค์กร
ทั้งนี้ ข้อมูลจากไอดีซีระบุว่า ในไตรมาสที่ผ่านมายอดขายพีซีทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น 15% โดยเฉพาะยอดขายพีซีในสหรัฐที่ทะยานขึ้นถึง 24% ซึ่งมากกว่าที่ไอดีซีคาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า
ขณะเดียวกัน นอกจากระบบปฏิบัติการ Windows 7 ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้ว ธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้น Bing ของไมโครซอฟท์ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาก็สามารถครองส่วนแบ่งในตลาดได้เพิ่มขึ้น 2.7% โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัยระบุว่า ในเดือนธ.ค.ไมโครซอฟท์สามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดสืบค้นข้อมูลของสหรัฐได้ 10.7% ขณะที่กูเกิลครองส่วนแบ่งในตลาดได้มากที่สุด 65.7% ส่วนยาฮู! อิงค์ครองส่วนแบ่งในตลาดไปได้ 17.3%