In Focusนับถอยหลังสู่คืนสำคัญของชาวฮอลลีวูดกับงานออสการ์ครั้งที่ 82 งานทรงเกียรติแห่งโลกเซลลูลอยด์

ข่าวต่างประเทศ Wednesday March 3, 2010 14:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เหลืออีกเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ งานประกาศผลรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด ครั้งที่ 82 ที่คอภาพยนตร์ทั่วโลกรอคอยก็จะเปิดม่านขึ้นแล้ว โดยก่อนที่จะถึงวันประกาศผลจริงที่โกดัก เธียร์เตอร์ นครลอสแองเจลิส ในคืนวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคมในสหรัฐ ซึ่งตรงกับเช้าวันจันทร์ที่ 8 มีนาคมตามเวลาบ้านเรานั้น ก็ได้มีการเปิดเผยโผรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลในสาขาต่างๆ ซึ่งได้รับความสนใจไม่แพ้ปีที่ผ่านมาๆเลยทีเดียว

หนังฟอร์มยักษ์ทำเงิน-หนังฟอร์มเล็กขวัญใจนักวิจารณ์พาเหรดชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ประจำปี 2010 ซึ่งสาขาที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดเป็นประจำทุกปีหนีไม่พ้นสาขา “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" โดยในปีนี้สถาบันศิลปะวิทยาการภาพยนตร์ (The Academy of Motion Picture Arts and Sciences) มาแปลกด้วยการเพิ่มรายชื่อภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลเป็น 10 เรื่องจากปกติที่มีแค่ 5 เรื่อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1944

โดยภาพยนตร์ทั้ง 10 เรื่องในปีนี้ประกอบไปด้วย "Avatar", "The Hurt Locker", "Inglourious Basterds", "The Blind Side", "District 9", "An Education", "A Serious Man", "Precious", "Up" และ "Up in the Air"

รายชื่อภาพยนตร์ 10 เรื่องสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสถาบันในการนำเสนอทางเลือกที่แตกต่าง ตั้งแต่ภาพยนตร์ฮิตติดตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ อาทิ Avatar, District 9 และ Up และภาพยนตร์ฟอร์มเล็กนอกกระแสหลักที่มีเนื้อหาหนักๆเกี่ยวกับการเมืองและสังคม อาทิ The Hurt Locker, A Serious Man และ Precious เพื่อกระตุ้นเรทติ้งการถ่ายทอดสดพิธีมอบรางวัลทางโทรทัศน์ที่ซบเซาในช่วงปีหลังๆ เนื่องจากเชื่อว่าภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่ผ่านสายตาของคนดูมาแล้วจะช่วยดึงดูดผู้ชมหน้าจอทีวีได้เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย

“Avatar" vs "The Hurt Locker"

สำหรับไฮไลท์สำคัญของรางวัลออสการ์ในปีนี้คือ การปะทะกันระหว่าง “Avatar" กับ "The Hurt Locker"

“Avatar" เป็นภาพยนตร์แนวไซ-ไฟที่กวาดรายได้ถล่มทลายในสหรัฐไปแล้ว 706.9 ล้านดอลลาร์ และ 1.84 พันล้านดอลลาร์ในตลาดต่างประเทศ รวมเป็น 2.55 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ “Avatar" ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดประจำปีเท่านั้น แต่ยังทำสถิติเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลไปอย่างไม่ยากเย็น ด้วยเนื้อหาสุดล้ำเหนือจินตนาการเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสองอารยธรรม คือ โลกมนุษย์ และ ดาวแพนดอร่า

ขณะที่ "The Hurt Locker" เป็นภาพยนตร์อินดี้ทำเงินรายได้รวมประมาณ 16 ล้านดอลลาร์ ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับทหารประจำหน่วยพิเศษซึ่งมีหน้าที่ถอดชนวนระเบิดในสมรภูมิรบอิรัก โดยภาพยนตร์ได้เผยให้เห็นถึงอันตรายของสงคราม และความตึงเครียดที่เหล่าทหารต้องเผชิญจากการปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตาย

ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องต่างก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากสาขาที่สุดในปีนี้เรื่องละ 9 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีรางวัลจากเวทีอื่นการันตีมาแล้ว โดย "Avatar" และเจมส์ คาเมรอน ชิมลางคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานลูกโลกทองคำมาครอง ส่วน "The Hurt Locker" ก็ไม่น้อยหน้า ตระเวนกวาดรางวัลมาแล้วจากหลายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ (DGA) สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์ (PGA) และบาฟต้า (BAFTA) หรือรางวัลออสการ์ของฝั่งอังกฤษ ขณะที่แคธรีน บิเกโลว์ ยังได้รับรางวัลผู้กำกับฯยอดเยี่ยมจากทั้ง 4 เวทีด้วย

การสู้รบตบมือระหว่างภาพยนตร์สองเรื่องนี้ยิ่งได้รับการจับจ้องมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุที่สองผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน และ แคธลีน บิเกโลว์ เคยแต่งงานกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าขาดจากกันในปี 1991 และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ บิเกโลว์ วัย 58 ปี นับเป็นผู้กำกับหญิงคนที่ 4 เท่านั้นที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์กว่า 80 ปีของอคาเดมี่

การขับเคี่ยวกันระหว่างอดีตสามีภรรยา และการชิงความเหนือกว่าระหว่างเพศชายและหญิง สามารถสร้างสีสันให้ออสการ์ปีนี้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่ทำให้ “Avatar" และ “The Hurt Locker" เป็นที่พูดถึงกันมากก็คือการที่เรื่องหนึ่งเป็น ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ขณะที่อีกเรื่องเป็น ภาพยนตร์นอกกระแส ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ฆ่าไม่ตายสำหรับเวทีออสการ์

เรียกได้ว่า “Avatar" และ "The Hurt Locker" เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างการค้าและศิลปะอย่างแท้จริง เนื่องจากเรื่องแรกเป็นหนังฮิตทำรายได้ถล่มทลาย แม้หนังจะสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง ทั้งผู้ชมทั่วไปและบุคคลในวงการภาพยนตร์ แต่แนวไซไฟไม่ใช่สไตล์ที่ออสการ์ปลื้มมากนัก ขณะที่เรื่องหลังเป็นหนังสงคราม ซึ่งถือเป็นแนวโปรดของออสการ์อยู่แล้ว

ในขณะที่วันประกาศผลงวดเข้ามาทุกขณะ ก็ยังไม่มีใครกล้าชี้ชัดว่า อคาเดมี่จะมอบรางวัลให้ภาพยนตร์แฟนตาซีอย่าง “Avatar" หรือจะเลือก “The Hurt Locker" ซึ่งมีเนื้อหาสะท้อนสังคมที่เกิดขึ้นจริง ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญบางส่วนวิเคราะห์ว่า คณะกรรมการผู้ลงคะแนนอาจเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง โดยอาจยกให้ “Avatar" เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอาจตกเป็นของ บิเกโลว์ ซึ่งจะทำให้เธอเป็นตัวแทนของผู้กำกับหญิงที่เคยถูกอคาเดมี่มองข้ามมาโดยตลอด

ทั้งนี้ ถ้าจะเปรียบเป็นคู่มวย “Avatar" และ "The Hurt Locker" ก็ถือเป็นคู่ชกที่สูสีกันมาก เนื่องจากทั้งสองเรื่องมีจุดเด่นจุดด้อยไปคนละอย่าง ทำให้ยากที่จะฟันธงได้ว่าฝ่ายน้ำเงินหรือฝ่ายแดงจะเป็นผู้ชนะ แต่ที่แน่ๆไม่มีการน็อกเอาท์บนเวทีนี้อย่างแน่นอน

Inglourious Basterds คู่ชิงที่ไม่อาจมองข้าม

Inglourious Basterds ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหย่อนลงมาที่ 8 สาขา และถูกมองว่ามีสิทธิ์เป็น “ตาอยู่" คว้าออสการ์ไปครองในขณะที่ ตาอิน (Avatar) กะ ตานา (The Hurt Locker) มัวแต่แย่งตุ๊กตาทองกัน

เควนติน ทารันติโน จะสามารถหักปากาเซียนพา Inglourious Basterds หนังตลกร้ายเสียดสีนาซี คว้ารางวัลออสการ์มาครองได้หรือไม่ ซึ่งหากทำได้ก็จะถือหนึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงที่สุดบนเวทีออสการ์ นับตั้งแต่ที่ Crash เคยเอาชนะตัวเก็งเต็งจ๋าอย่าง Brokeback Mountain และคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองได้ในปี 2006

เจฟฟ์ บริดเจส — ซานดร้า บุลล็อก กับออสการ์ที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

รางวัลออสการ์ในสาขาการแสดงนั้นมักเจริญรอยตามเวทีลูกโลกทองคำ และ SAG Awards หรือสหภาพนักแสดงซึ่งจัดขึ้นก่อนออสการ์ในเดือนมกราคม

สำหรับผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ เจฟฟ์ บริดเจส จากหนังเกี่ยวกับวงการเพลงคันทรี "Crazy Heart" จอร์จ คลูนีย์ จาก "Up in the Air" โคลิน เฟิร์ธ จาก "A Single Man" เจเรมี่ เรนเนอร์ จาก "The Hurt Locker" และมอร์แกน ฟรีแมน ในบทบาทประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า ของแอฟริกาใต้ จากภาพยนตร์เรื่อง "Invictus"

นักวิเคราะห์วิจารณ์เกือบทุกสำนักเก็งกันว่า รางวัลนี้จะตกอยู่ในมือของ เจฟฟ์ บริดเจส นักแสดงเจ้าบทบาทอย่างค่อนข้างจะแน่นอน หลังจากที่เขาคว้ารางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ และ SAG Awards นำร่องมาก่อนแล้ว

ส่วนสาขานักแสดงนำหญิงนั้น ซานดร้า บุลล็อก ดูจะเปล่งรัศมีมากที่สุดหลังจากที่เธอคว้ารางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำและ SAG มาครองได้เช่นกัน จากภาพยนตร์แนวฟีลกู๊ดเรื่อง "The Blind Side" แม้ว่าคู่แข่งของเธอจะเป็นนักแสดงหญิงยอดฝีมืออย่าง เมอรีล สตรีพ จาก "Julie & Julia" ซึ่งเป็นการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 16 รวมไปถึงเฮเลน มิร์เรน จากบทโซเฟีย ภรรยาสูงวัยของนักเขียนชื่อก้องโลกชาวรัสเซีย ลีโอ ตอลสตอย ในเรื่อง "The Last Station" แครีย์ มัลลิแกน จาก "An Education" และกาบูรีย์ ซิดิเบ จาก "Precious"

ในส่วนของนักแสดงสบทบชายมีผู้เข้าชิง ได้แก่ แมตต์ เดมอน ในบทกัปตันทีมรักบี้ทีมชาติแอฟริกาจากภาพยนตร์ "Invictus" วูดดี้ แฮเรลสัน จาก "The Messenger" คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ จาก "The Last Station" สแตนลีย์ ตุชชี่ จาก "The Lovely Bones" และ คริสตอฟ วอลทซ์ จาก "Inglourious Basterds" ซึ่งถือเป็นตัวเก็งในสาขานี้ จากบทนายพลฮันส์ ลันดา แห่งกองทัพนาซี ผู้มีสมญานามว่า Jew Hunter หรือนักล่ายิว โดยวอลทซ์ได้รับรางวัลมาแล้วจากหลายเวทีและสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นโกลเด้นโกล๊บ, SAG และ BAFTA ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของนักแสดงเจ้าบทบาทชาวออสเตรียผู้นี้จำกัดวงอยู่ในยุโรปเท่านั้น

ขณะที่ตัวเก็งในสาขานักแสดงสมทบหญิง คือ โมนิก จาก "Precious" หลังจากที่เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ SAG และ BAFTA กลับไปนอนกอดมาแล้วเช่นกัน โดยผู้เข้าชิงที่เหลือในสาขานี้ได้แก่ สองนักแสดงหญิงจาก "Up in the Air" เวรา ฟาร์มิกา และ แอนนา เคนดริก, แม็กกี้ กิลเลนฮาล ซึ่งเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจาก "Crazy Heart" และเพเนโลเป ครูซ จากภาพยนตร์เพลงฟอร์มยักษ์ แต่รายได้แป็ก "Nine" โดยครูซเพิ่งคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้วจากเรื่อง "Vicky Cristina Barcelona"

รางวัลที่ยังต้องลุ้น vs รางวัลแบเบอร์

สำหรับสาขาที่ยังต้องลุ้นหนักนอกเหนือไปจากภาพยนตร์ยอดเยี่ยมคือ “ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวชิงชัยกัน ระหว่าง เจมส์ คาเมรอน และ แคธรีน บิเกโลว์ ขณะที่ เควนติน ทารันติโน จาก Inglourious Basterds, เจสัน ไรท์แมน จาก Up in the Air และ ลี แดเนียลส์ จาก Precious อาจเป็นตัวสอดแทรก

หากไม่มีอะไรผิดพลาด รางวัลภาพยนตร์แอนนิเมชั่นยอดเยี่ยมน่าจะตกเป็นของ Up ขณะที่ The White Ribbon จะได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม หลังจากที่ซิวรางวัลในสาขาเดียวกันจากเวทีลูกโลกทองคำมาแล้ว อีกทั้งยังเคยเบียดแซงตัวเต็งอย่าง Inglourious Basterds จนคว้ารางวัลปาร์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาครองด้วย โดยภาพยนตร์ขาวดำภาษาเยอรมัน ของ มิคาเอล ฮาเนเก้ ผู้กำกับฯชาวออสเตรีย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ยุโรปตกอยู่ในอำนาจของพวกฟาสซิสต์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หรือช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1

ขณะที่ Up in the Air โดยเจสัน ไรท์แมน จะคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ส่วนเควนติน ทารันติโน่ จะคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมติดมือกลับบ้าน หลังจากที่เขาเคยได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาเดียวกันนี้มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Pulp Fiction ในปี 1995

พิธีกรคู่สร้างสีสัน

หลังจากในปีที่แล้ว ฮิวจ์ แจ็กแมน นักแสดงชาวออสเตรเลีย รับหน้าที่พิธีกรบนเวทีออสการ์ ด้วยรูปแบบการดำเนินรายงานในสไตล์ละครเวที มาปีนี้ สตีฟ มาร์ติน และ อเลค บอลด์วิน จะทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการคู่กันบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 82

โดยเป็นครั้งแรกที่ออสการ์จะมีพิธีกรมากกว่า 1 คน นับตั้งแต่ปี 1987 ที่เชฟวี่ เชส, โกลดี ฮอว์น และพอล โฮแกน เคยแชร์เวทีออสการ์ร่วมกันมาแล้ว และอาจต้องย้อนไปถึงงานแจกรางวัลออสการ์ครั้งแรกเมื่อปี 1929 ซึ่งมีพิธีกรคู่สองคน คือ ดักลาส แฟร์แบงก์ ประธานอคาเดมี่ และ วิลเลียม เดอมิลล์ รองประธาน

ทั้งนี้ มาร์ตินไม่ใช่บุคคลแปลกหน้าสำหรับเวทีออสการ์ เนื่องจากเขาเคยเป็นพิธีกรมาแล้วในปี 2001 และ 2003 ขณะที่บอลด์วินก็เคยมีเอี่ยวกับออสการ์มาเหมือนกัน โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในปี 2004 จากภาพยนตร์เรื่อง The Cooler

โดยมาร์ตินกล่าวติดตลกสไตล์คอมเมเดียนว่า เขารู้สึกแฮปปี้ที่จะได้เป็นพิธีกรร่วมกับศัตรูอย่าง อเลค บอลด์วิน ด้านบอลด์วินกล่าวว่า ตื่นเต้นที่จะได้เป็นพิธีกรออสการ์ เนื่องจากเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต

ทั้งคู่จะช่วยสร้างสีสันให้งานได้มากน้อยแค่ไหน แฟนภาพยนตร์โปรดติดตาม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ