หนังสือพิมพ์ไชน่า บิสิเนส นิวส์ รายงานในวันนี้ว่า บริษัท กูเกิล อิงค์ อาจถอนฐานธุรกิจออกจากประเทศจีนในวันที่ 10 เม.ย.นี้ โดยคาดว่ากูเกิลจะออกแถลงการณ์เรื่องการถอนธุรกิจในวันที่ 22 มี.ค. และจะเปิดเผยแผนการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับพนักงานในประเทศจีนของบริษัท กูเกิล ไชน่า ในวันเดียวกันด้วย
ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา กูเกิลท้าทายรัฐบาลจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ด้วยการขู่ว่าจะแสดงผลการสืบค้นข้อมูลทุกประเภทบนเว็บภาษาจีนของกูเกิล ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับทิเบตและเหตุการณ์กวาดล้างที่จตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปีพ.ศ.2532
กูเกิลว่า บริษัทตัดสินใจยุติระบบ censoring content หลังจากตรวจพบว่าคอมพิวเตอร์ของบริษัทถูกโจมตีจากแฮคเกอร์ในประเทศจีน และกล่าวว่า ระบบของกูเกิลตกเป็นเป้าหมายการโจมตีขั้นรุนแรงเนื่องจากกูเกิลครอบครองข้อมูลที่สำคัญ และยังมีข้อมูลของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในจีนที่ใช้บริการจีเมล์ของกูเกิล
รายงานระบุว่า บริษัทที่เคยลงโฆษณาบนเว็บไซต์กูเกิลประเทศจีนได้รับคำแนะนำให้หันไปลงโฆษณาในเว็บไซต์ไป่ตู้ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของกูเกิลแทน หลังจากที่มีกระแสคาดการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ว่ากูเกิลน่าจะปิดเว็บไซต์ในจีน โดยนายวินเซนต์ คอบเลอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท EmporioAsia Leo Burnett ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นผู้ซื้อโฆษณาบนเว็บไซต์กูเกิลและไป่ตู้ในนามของลูกค้า กล่าวว่า ทางบริษัทเริ่มแนะนำให้ลูกค้าซื้อโฆษณาบนเว็บไซต์ไป่ตู้แทนแล้ว เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่กูเกิลจะปิดเว็บไซต์ในจีน
กูเกิลเริ่มจำกัดผลการสืบค้นข้อมูลในประเทศจีนตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎข้อบังคับของรัฐบาล รวมถึงการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ตกเป็นประเด็นในการถกเถียงกันเรื่องไต้หวันหรือทิเบต และเหตุการณ์กวาดล้างผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่จตุรัสเทียนอันเหมิน
ทั้งนี้ กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการถอนธุรกิจออกจากจีนของกูเกิล ส่งผลให้ราคาหุ้นกูเกิลร่วงลง 4.1% และหนุนราคาหุ้นไป่ตู้ทะยานขึ้น 46% นับตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา
ข้อมูลจากอนาไลซิส อินเตอร์เนชันแนล บ่งชี้ว่า กูเกิลมีรายได้จากยอดขายในประเทศจีนในปีพ.ศ.2552 ที่ 2.27 หมื่นล้านหยวน หรือ 333 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ข้อมูลจากรัฐบาลจีนระบุว่า จีนมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึง 384 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐ และคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในจีนจะพุ่งขึ้นแตะ 840 ล้านคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 61 ของจำนวนประชากรทั้งหมดภายในปีพ.ศ.2556