บีพี ขาดทุนหนักเป็นประวัติการณ์จากผลกระทบของวิกฤตน้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ในอ่าวเม็กซิโก
โดยบีพีรายงานยอดขาดทุนสุทธิประจำไตรมาส 2 ของปีนี้ที่ 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับผลกำไรที่ 4.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้านี้ ขณะที่นายโทนี่ เฮย์เวิร์ด ซีอีโอของบีพีเตรียมลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยมีนายโรเบิร์ต ดัลลีย์ รับหน้าที่ดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ นายดัดลีย์จะเผชิญกับความท้าทายในการรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำความสะอาดคราบน้ำมันที่รั่วไหลในอ่าวเม็กซิโกรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านความเสียหายที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าบีพีอาจต้องขายสินทรัพย์กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงลดการลงทุน และปรับลดการจ่ายเงินปันผล หลังค่าใช้จ่ายในการกำจัดคราบน้ำมันได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางการตลาดของบริษัทไปแล้ว 4.85 หมื่นล้านปอนด์
บีพีได้ดำเนินการอุดรอยรั่วของบ่อน้ำมัน หลังจากที่ความเสี่ยงจากฤดูพายุในช่วงนี้เป็นอุปสรรคต่อการอุดรอยรั่วของบ่อน้ำมันที่บีพีต้องการเพิ่มความแน่นหนามากขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้ โดยบีพีเตรียมฉีดโคลนอุดรอยรั่วด้านบนของบ่อน้ำมันมาคอนโด (Macondo) ในสัปดาห์หน้า ทับด้วยการอัดโคลนซ้ำและฉาบซีเมนต์ตั้งแต่ก้นบ่อน้ำมันขึ้นมา
ทั้งนี้ วิกฤตน้ำมันรั่วไหลของบีพีที่ยืดเยื้อมานาน 3 เดือนส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยนักวิเคราะห์บางรายคาดว่าบีพีอาจประสบภาวะถังแตก หรือถูกซื้อกิจการ หรืออย่างน้อยที่สุดก็อาจทำให้ตัวเลขงบดุลบัญชีของบริษัทหร่อยหรอลง
อย่างไรก็ตาม บีพีเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ขายสินทรัพย์ในสหรัฐ แคนาดา และอียิปต์มูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบริษัทอาปาเช่ คอร์ป (Apache Corp.) นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขายสินทรัพย์ในปากีสถานและเวียดนามด้วย