น.ส.อมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJANA)คาดว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/53 จะเป็นช่วงที่ peak สุดของปีนี้ หลังจากล่าสุดได้เซ็นสัญญาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้กับลูกค้ารายใหญ่จำนวน 300 ไร่ และยังมีที่อยู่ระหว่างเจรจาอีก คาดว่าจะจบได้ภายในสิ้นปีนี้
"ยอดขายที่ดินในนิคมฯมีทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นทำให้ลูกค้ากลับมาลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ และคาดว่าในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่พีคสุด เนื่องจากเริ่มมีการทยอยเซ็นสัญญาของลูกค้ามากขึ้น"น.ส.อมรา กล่าว
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)ประเมินว่า ROJNA ทำสัญญาขายที่ดิน 300 ไร่ให้กับบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด ทำให้บรรลุเป้าหมายขายที่ดินในนิคมอุตสาหรรมในปีนี้ที่ 500 ไร่จากก่อนหน้าที่ขายได้ประมาณ 200 ไร่
อย่างไรก็ตาม น.ส.อมรา กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 53 ไว้ที่ 7 พันล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ โดยรายได้ที่เข้ามาในปีนี้ แบ่งเป็นจากขายที่ดิน 1.5 พันล้านบาท ขายไฟฟ้า 4.5 พันล้านบาท ขายน้ำประปา 300 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ราว 1 พันล้านบาท และที่เหลือ 100-200 ล้านบาทมาจาก บมจ.ไทคอน ที่บริษัทถือหุ้นอยู่
ด้านรายได้ในปี 54 ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่คาดว่ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 165 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 265 เมกะวัตต์ หลังจากบริษัทได้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มทั้งในส่วนต่อขยายที่จะแล้วเสร็จต้นปี 54 และโรงไฟฟ้า SPP 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 55-56
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น น.ส.อมรา กล่าวว่า ในปี 54 จะมีการหยิบยกแผนงานพัฒนาคอนโดมิเนียมย่านรัตนาธิเบศร์ มูลค่า 2 พันกว่าล้านบาทขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง หลังเลื่อนจากแผนงานเดิมที่คาดว่าจะเห็นในช่วงปลายปี 53 เนื่องจากบริษัทต้องการประเมินสภาพตลาดให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะตอนนี้ตลาดไม่ได้น่าสนใจมากอย่างช่วงที่ผ่านมา เห็นได้จากโครงการในย่านดังกล่าวมีอัตราการขายที่ช้าลง
"เรามั่นใจทำเลของเรา แต่การที่จะขายได้ต้องมั่นใจและดูคู่แข่งด้วย ซึ่งแถวนั้นเท่าที่ดู ระดับราคาขายเราค่อนข้างแพงกว่าเขา ขณะที่การขายก็ช้าลงด้วย ดังนั้นช้าหน่อยจะดีกว่า มั่นใจขายได้หมดดีกว่า นโยบายบริษัทจะไม่ Hold ไว้ อีกอย่างตอนนี้ทุกคนก็มองว่าถ้าจะเลือกก็ต้องแนวรถไฟฟ้า"นางอมรา กล่าว
ส่วนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน 2 โครงการ มูลค่ารวม 6-7 พันล้านบาทคาดว่าจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ ซึ่งโครงการแรกเริ่มมีการโอนบ้างแล้ว ส่วนอีกโครงการคาดว่าจะเสร็จสิ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า(54-55)และทยอยรับรู้ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มรายได้ในอนาคตให้กับบริษัทนอกเหนือธุรกิจที่ดำเนินการอยู่
น.ส.อมรา กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังมีการศึกษาตลาดในประเทศจีนไปเรื่อยๆ หากมีโอกาสในอนาคตก็อาจจะได้เห็นการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก แต่คงยังไม่รีบร้อนพัฒนาเพิ่มเติมในระยะนี้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศในช่วงนี้ก็คงเน้นที่ประเทศจีนเป็นหลัก เพราะผู้บริหารมีความคุ้นเคย
"แม้ยอดขายในประเทศจีนตอนนี้ดีมาก ราคาขายก็ปรับเพิ่มขึ้นมา 6 หมื่นบาทต่อตารางเมตร จากเดิม 3-4 หมื่นบาทต่อตารางเมตร แต่คงไม่เร่งรีบที่จะพัฒนาโครงการเพิ่มในช่วงระยะนี้ อีกอย่างตอนนี้รัฐบาลของจีนก็มีความเข้มงวดมากขึ้นในธุรกิจอสังหาฯ เพราะกังวลว่าฟองสบู่จะเกิดขึ้น"น.ส.อมรา กล่าว