นายทรงวุฒิ ไกรภัสสร์พงษ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.ซี.เจ เอเซีย(TCJ) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยคำสั่งซื้อสินค้าในช่วงครึ่งปีหลังขณะนี้ถือว่าเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนปีนี้บริษัทจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรจากที่ขาดทุน 23.42 ล้านบาทในปี 52 ได้หรือไม่นั้นก็คงต้องติดตามผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
"ไตรมาส 1 เราไม่ค่อยดีขาดทุน พอมาไตรมาส 2 ก็สามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ ส่วนทั้งปีจะพลิกกลับมาเป็นกำไรหรือไม่นั้นก็ต้องรอดูช่วงที่เหลือก่อน ตอนนี้ก็รอดูไตรมาส 3 แต่ยังบอกอะไรไม่ได้เพราะผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศยังไม่ได้พูดคุยกัน" นายทรงวุฒิ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
TCJ รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2/53 มีผลกำไรสุทธิ 13.63 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 21.81 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสาคัญคือรายได้รวมสูงขึ้นจาก 124.17 ล้านบาทในไตรมาส 2/52 เป็น 323.37 ล้านบาทในไตรมาส 2/53 เพิ่มขึ้น 199.20 ล้านบาท หรือร้อยละ 160.43
นายทรงวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจของบริษัท บิ๊กเครน แอนด์อิควิปเม้นต์เร้นส์ทัลส์ จำกัด ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 99.99% ดำเนินธุรกิจขายและเช่ารถเครน รถบดถนน รถขุดรถตัก รถยก และเครื่องจักรอื่นๆ ก็เริ่มมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น แต่คำสั่งซื้อสินค้าอาจจะยังไม่มากนัก เพราะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐยังออกมาไม่เต็มที่ ซึ่งมองว่าถ้ามีโครงการจากทางภาครัฐออกมามากขึ้นก็น่าจะช่วยผลักดันคำสั่งสินค้าซื้อของบริษัท
ส่วนบริษัท โตโย มิลเลนเนียม จำกัด ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 51% ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อสแตนเลส มีคำสั่งซื้อเข้ามาจนถึงปีหน้าแล้ว
"คือต้องมองภาพรวมว่าภาวะเศรษฐกิจที่มันค่อยๆฟื้นตัว ก็ส่งผลให้เราค่อยๆเติบโตตาม อย่างโตโยฯขณะนี้คำสั่งซื้อก็มีมากขึ้น ไปจนถึงปีหน้า ส่วนบิ๊กเครนฯอาจจะยังเห็นผลไม่มากนักเพราะการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจก็ทำให้การก่อสร้างค่อยๆฟื้นตัว แต่ภาพรวมคำสั่งซื้อปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว"นายทรงวุฒิ กล่าว
ปัจจุบัน ลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในกลุ่มทวีปเอเชียและสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทมีแผนจะเจาะตลาดยุโรปมากขึ้นเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มรายได้ต่อไปในอนาคต โดยมองว่าตลาดยุโรปนั้นยังมีความต้องการอยู่มาก
"ลูกค้าหลักๆของเราก็เป็นลูกค้าในเอเชียและสหรัฐฯ แต่พอสหรัฐฯเริ่มมีปัญหาเราก็ได้ตลาดเอเชียนี่แหละช่วยและเราก็ต้องมีการหาตลาดใหม่ๆ ตอนนี้ก็สนใจไปที่ยุโรป ผมก็เพิ่งกลับจากบินไปคุยกลับลูกค้ามา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี"นายทรงวุฒิ กล่าว
นายทรงวุฒิ กล่าวถึงการที่เงินบาทแข็งค่าในขณะนี้นั้นก็อาจจะส่งผลดีต่อบริษัทบ้าง เพราะทำให้บริษัทสามารถนำเข้าวัตถุดิบต่างๆได้ถูกลงหรืออาจจะได้ของมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้บริษัทก็มีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งตรงนี้ก็ได้รับผลกระทบในด้านลบจากการที่เงินบาทแข็งค่าเหมือนกัน
"ตามทัศนะส่วนตัวการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็มีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ก็ต้องนึกถึงใจเขาใจเรา ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็อาจจะช่วยในเรื่องของการสั่งซื้อวัตถุดิบได้ถูกลง ตอนนี้เราก็มีการสั่งซื้อวัตถุดิบเข้ามามากขึ้น แต่เราก็มีการส่งออกไปต่างประเทศด้วยซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าก็ส่งผลกระทบโดยตรง สรุปแล้วมันก็เฉลี่ยๆกันไป"นายทรงวุฒิ กล่าว
นายทรงวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่เคยมีกระแสข่าวว่าทางบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (ราคาพาร์) จากเดิมหุ้นละ 10 บาทเป็น 5 บาท ว่าไม่เป็นความจริงและตนเองไม่เคยมีความคิดจะแตกพาร์แต่อย่างใด
"ยังไม่มีเคยมีความคิดอันนี้อยู่ในหัวเลย ก็น่าจะเป็นข่าวลือปกติ ซึ่งพอมีข่าวทางตลาดฯก็ได้มีการมาสอบถาม ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ก็ไม่น่ามีอะไร"นายทรงวุฒิ กล่าว