โบรกฯ หนุน"ซื้อ"TOP"คาดกำไร Q3/53 ฟื้นเท่าตัวจาก Q2/53 ตามค่าการกลั่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 11, 2010 10:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องหนุนซื้อหุ้น บมจ.ไทยออยส์(TOP)จากแนวโน้มการทำกำไรของบริษัทฟื้นตัวตามค่าการกลั่น โดยบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดในการทำกำไรมาแล้วในไตรมาส 2/53 โดยไตรมาส 3/53 คาดกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท เติบโตเท่าตัว(บวก/ลบ)จากไตรมาสก่อนหน้า หลังค่าการกลั่นปรับสูงขึ้น

และสเปรดปิโตรเคมีในผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์น่าจะกลับมาฟื้นตัว โดยไม่มีแรงกดดันจากซัพพลายใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายกำลังการผลิตในอนาคต รวมถึงการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น

ส่วนทั้งปี 53 คาดกำไรในช่วง 7.2-8.1 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 20-30% แต่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 54 ตามทิศทางเศรษฐกิจฟื้นตัว และค่าการกลั่นสูงขึ้น

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.เกียรตินาคิน          ซื้อ                68.00
          บล.ทรีนิตี้               ซื้อ                65.00
          บล.โกลเบล็ก            ซื้อ                66.00
          บล.เอเซียพลัส           ซื้อ                66.27
          บล.ฟาร์อีสท์             ซื้อ                66.10
          บล.ยูไนเต็ด             ซื้อ                66.00

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า TOP จะมีกำไรฟื้นตัวขึ้นจากการที่ค่าการกลั่นเริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่าไตรมาส 3/53 บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 2,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน และเติบโต 11% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บนกำลังการผลิตเฉลี่ยประมาณ 275,000 บาร์เรลต่อวัน

ทั้งนี้ คาดกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าการกลั่นเฉลี่ยที่ที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 2.5 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ประมาณ 3.4 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สายการผลิตน้ำมันหล่อลื่นที่มาร์จิ้นยังอยู่ในระดับ 600 ดอลลาร์ แต่สเปรดสายปิโตรเคมีอ่อนลงเล็กน้อย และธุรกิจสนับสนุนค่อนข้างทรงตัว ยกเว้นโรงไฟฟ้า IPT ที่ยังไม่สามารถเดินเครื่องได้ตามปกติคาดจะเริ่มเดินเครื่อง พ.ย.53

TOP ยังมีแผนลงทุนขยายกำลังการผลิต และการทำ M&A ในส่วนของธุรกิจหลัก TOP จะเข้าลงทุนผลิตสาร TDAE กำลังการผลิต 50,000 ตันเริ่มเดินเครื่องปี 54 ซึ่งจะทำให้ TOP มีมาร์จิ้นเพิ่มจาก Base Oil ประมาณ 400-500 ดอลลาร์/ตัน การเข้าประมูลโรงไฟฟ้า SPP อีก 2 โรง กำลังการผลิตรวม 220 MW โดยไอน้ำที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าจะส่งเข้าใช้ในตัวบริษัทเองทำให้ความเป็นไปได้ของโครงการมีค่อนข้างสูง

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ยังแนะซื้อ TOP เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 2/53 ที่มีผลกำไรสุทธิเพียง 1 พันล้านบาท โดยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/53 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 2,087 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 94% เทียบไตรมาสก่อน และเติบโต 6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ไตรมาส 4/53 มองว่าบริษัทยังมีการทำกำไรใกล้เคียงไตรมาส 3/53 เนื่องจากค่าการกลั่นยังเพิ่มขึ้น ส่วนสเปรดปิโตรเคมีด้านอโรเมติกส์น่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ เพราะแรงกดดันด้านซัพพลายใหม่ลดลง จากการที่โรงอโรเมติกส์ของจีนที่มีกำลังการผลิต 1 ล้านตันถูกเลื่อน จากครึ่งหลังปี 53 เป็นครึ่งหลังปี 54

ส่วนผลประกอบการของ TOP ทั้งปีคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 8,100 ล้านบาท ลดลง 25% จากปีก่อน แต่แนวโน้มปี 54 การทำกำไรบริษัทน่าจะเติบโตมากขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยค่าการกลั่นน่าจะอยู่ที่ 4.5 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล จึงคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 11,200 ล้านบาท หรือเติบโต 38%

บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน คาดกำไรสุทธิ TOP ไตรมาส 3/53 อยู่ที่ 1,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน แต่ลดลง 1.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีกอ่น จากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวตามอุตสาหกรรม โดยมีกำไรต่อหุ้น 0.95 บาท ทำให้ผลประกอบการรวม 9 เดือนอยู่ที่ 5,028 ล้านบาท ลดลง 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลประกอบการปี 53 คาดว่าอยู่ที่ 7,384 ล้านบาท ลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

และจากผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นคาดว่าจะอยู่ที่ 3.3 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงขึ้นจากไตรมาส 2/53 ที่อยู่ในระดับ 2.5 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ในไตรมาส 3/53 ยังไม่มี Stock Loss เนื่องจากราคาน้ำมันไม่เปลี่ยนมากนักเมื่อเทียบกับ 2Q53 ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 900 ล้านบาท อย่างไรก็ตามภาพของธุรกิจปิโตรเคมียังอ่อนตัวตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง รวมทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น TOP ปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมากว่า 12% ระยะสั้นเริ่มมีความเสี่ยง เนื่องจาก เป็นการซื้อขายที่สูงกว่ามูลค่าเชิงพื้นฐานของปี 53 และปัจจุบัน TOP มีการซื้อขายอยู่ที่ระดับ PER ที่ 15.68 เท่า ถือเป็นระดับสูงมากเมื่อเทียบกับโรงกลั่นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ภาพในระยะสั้นเริ่มมีความเสี่ยง ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวยังแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงกลั่น


แท็ก (TOP)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ