บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์(AP)เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 4 โครงการในช่วงไตรมาส 4/53 จากเป้าหมายการเปิดโครงการใหม่ทั้งปี 20 โครงการ โดยทั้ง 4 โครงการที่เหลือ ได้แก่ คอนโดมิเนียม Aspire 2 โครงการ ที่งามวงศ์วานและพระราม 4 มูลค่ารวม 4,797 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการระดับราคา 10 ล้านบาท/ยูนิตที่กัลปพฤกษ์และวัชรพล ภายใต้แบรนด์ใหม่ มูลค่าราว 2 พันล้านบาท
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AP กล่าวว่า การที่บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น จำต้องพัฒนาสินค้าในรูปแบบที่หลากหลาย และกระจายสินค้านั้นๆ ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเม้นต์ โดยใช้จุดแข็งในความชำนาญด้านการพัฒนาสินค้าประเภท คอนโดมิเนียม ซึ่งถือว่าที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากมาต่อยอดธุรกิจ ขยายพอร์ตสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมไปยังเซ็กเม้นต์ใหม่ ระดับราคาขาย 1.3-2 ล้านบาท โดยใช้ชื่อแบรนด์ ASPIRE
“จริงๆ แล้วคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับ AP เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมาเราเคยเปิดตัว Life @ ท่าพระ ด้วยราคาขายระดับล้านกว่าๆ นี้แล้วเช่นกัน แต่ด้วยภาพลักษณ์ของแบรนด์ Life ที่ต้องอยู่ใกล้รถไฟฟ้าซึ่งมีเรื่องต้นทุนที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้นจึงทำให้ราคาเริ่มต้นของ Life ขยับไปที่ 2-3 ล้านบาท และด้วยความชำนาญในการพัฒนาคอนโดของเรา ประกอบกับการศึกษาตลาดและผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ผมคิดว่าวันนี้ AP พร้อมแล้วที่จะลงไปในตลาดคอนโดระดับราคานี้ โดยยังคงจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่ต้องตอบโจทย์ตลาดจริงๆ นอกเหนือจากสิ่งใหม่ๆ ที่ AP ใส่เข้าไปเพื่อสร้างความแตกต่างที่ชัดเจน” นายอนุพงษ์กล่าว เสริม
ทั้งนี้ Aspire พระราม 4 คอนโดมิเนียมจำนวน 2 อาคาร สูง 32 ชั้น และ 27 ชั้น รวม 1,432 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,631 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 บริเวณแยกกล้วยน้ำไท ตรงข้ามถนนสุขุมวิท 42 และ Aspire งามวงศ์วาน คอนโดมิเนียม จำนวน 2 อาคาร สูง 28 ชั้น รวม 1,458 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,166 ล้านบาท ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่งามวงศ์วาน
นายอนุพงษ์ กล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการพร้อมเปิดจองอย่างเป็นทางการต้นเดือน พ.ย.นี้ สำหรับแบรนด์ Aspire คาดว่าในปีต่อไปคงจะเปิดตัวเพิ่มเติมอีก 1-2 โครงการ หรืออาจจะเป็น 3 โครงการยังไม่มีข้อสรุป เพราะต้องรอดูทำเลที่ดินก่อน อย่างไรก็ตาม จากนี้คงไม่ทำโครงการในระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
นายอนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปึนี้ AP คงเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อน ปัจจุบันมียอดขายรอโอน(backlog) 24,000 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ ส่วนยอดพรีเซลจะทำได้ตามเป้าหมาย 2.1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 3/53 น่าจะลดลงจากไตรมาส 2/53 เพราะสิ้นสุดมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว และไตรมาส 3/53 มีการโอนคอนโดมิเนียมน้อยกว่าไตรมาส 2/53 ส่วนต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างไม่น่ามีปัญหาในปีนี้ โดยบริษัทได้ล็อคราคาของปีหน้าไว้ประมาณ 70-80% แล้ว
บริษัทพยายามจะรักษาสัดส่วนแนวราบและแนวสูงให้มีการรับรู้รายได้ทุกปี 50:50 ควรจะบาลานซ์กัน ปีนี้และปีหน้ามองตลาดคอนโดฯกับแนวราบมีโอกาส
ส่วนโครงการทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท/ยูนิต คาดว่าจะเปิดโครงการได้ในปีหน้า
บริษัทคาดว่าจะตั้งงบซื้อที่ดินใหม่ในปีหน้าประมาณ 5 พันล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ตั้งงบไว้ 7 พันล้านบาท