ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ผันผวนจากปัจจัยลบเรื่องความวิตกกังวลต่อข่าวอื้อฉาวกรณีทุจริตรับจำนองของสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงทั่วทั้งกระดาน ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการของกูเกิลที่แข็งแกร่งเกินคาดเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 31.79 จุด หรือ 0.3% แตะที่ระดับ 11,062.78 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.38 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 1,176.19 จุด และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 33.39 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 2,468.77 จุด
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเปิดตลาดเป็นไปอย่างคึกคักขานรับถ้อยแถลงของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินโดยย้ำว่า เฟดพร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่ต่อมาตลาดเริ่มเผชิญกับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลต่อข่าวการทุจริตด้านธุรกรรมจำนองของสถาบันการเงินในสหรัฐ
ทั้งนี้ สำนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารใน 49 รัฐของสหรัฐและเมืองวอชิงตันดีซี ได้เดินหน้าตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่า สถาบันการเงินในสหรัฐดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ก่อนที่จะยึดบ้านที่หลุดจำนองของประชาชนที่ผิดนัดชำระหนี้ หลังจากมีรายงานอันอื้อฉาวไปทั่วสหรัฐว่า เอกสารที่สถาบันการเงินใช้อ้างอิงในการยึดบ้านของประชาชนนั้น เป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกระแสความกังวลต่อข่าวนี้ได้ฉุดรั้งหุ้นกลุ่มการเงินให้ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 4.92% ขณะที่หุ้นเวลส์ ฟาร์โกทรุดตัวลง 4.61% หุ้นซิตี้กรุ๊ปปรับตัวลดลง 2.71% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ตกลง 4.05%
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังเผชิญกับปัจจัยลบจากการเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริก (จีอี) ที่ซบเซา ซึ่งตอกย้ำถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ โดยหุ้นจีอีดิ่งลงอย่างหนักถึง 5.1%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปิดทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เพราะได้รับปัจจัยบวกหลังจากที่กูเกิล เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสสามที่สูงกว่าการคาดการณ์ของวอลล์สตรีท โดยรายได้สุทธิของกูเกิลประจำไตรมาส 3 ปีนี้ พุ่งขึ้นแตะระดับ 2.17 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่ระดับ 1.64 พันล้านดอลลาร์