ฟิทช์ให้อันดับเครดิตระยะสั้นโปรแกรมตั๋วแลกเงินของกิมเอ็งที่ F1(tha)

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 18, 2010 14:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้อันดับเครดิตภายในประเทศโปรแกรมตั๋วแลกเงินซึ่งสามารถออกเพื่อหมุนเวียนใหม่ได้อายุไม่เกิน 270 วัน มูลค่าไม่เกิน 2.0 พันล้านบาท ของบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST ที่ระดับ ‘F1(tha)’ โปรแกรมตั๋วแลกเงินดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนมีนาคม 2554 เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้เพื่อการขยายสินเชื่อ margin loans รวมถึงธุรกรรมประเภทตราสาร derivative warrants และใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ปัจจุบัน ฟิทช์ให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวแก่ KEST ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตของ KEST สะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในประเทศที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการสนับสนุนจากบริษัทแม่คือบริษัทกิมเอ็งโฮลดิ้งส์ จำกัด ในสิงคโปร์ หรือ KEH และสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง KEST ยังคงดำเนินธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยมีสัดส่วนการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและมีความผันผวนค่อนข้างน้อย ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพของผลการดำเนินงานได้ ส่วนความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาด (Market Risk) มีอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก KEST ไม่มีการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อตัวบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเริ่มทำธุรกรรม derivative warrants ทำให้มีความเสี่ยงที่สูงขึ้น

ผลการดำเนินงานของ KEST อยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ในช่วงครึ่งแรกปี 2553 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดเสรีค่านายหน้าธุรกิจค้าหลักทรัพย์มาตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ KEST มีกำไรสุทธิ 271.2 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกปี 2553 (เทียบกับ 279.5 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกปี 2552) ถึงแม้ว่าอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะลดลงในช่วงครึ่งแรกปี 2553 KEST ยังมีรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 998.8 ล้านบาท อันเป็นผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 2 ปี 2553 แม้ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกลดทอนลงจากรายจ่ายการดำเนินงานที่สูงขึ้น ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2553 น่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานของ KEST ในช่วงครึ่งหลังปี 2553 ดีขึ้น KEST มีรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เป็นสัดส่วนใหญ่ของโครงสร้างรายได้ โดยมีสัดส่วน 89% ของรายได้ทั้งหมดใน 6 เดือนแรกของปี 2553 (88% ในปี 2552) KEST ยังคงมี ROA และ ROE ต่อปีอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 8% และ 13% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553

KEST มีการสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ที่สูงและมากกว่าคู่แข่งเนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ารายย่อยมากกว่า ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นผู้กู้หลักของสินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 3.193 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 หรือประมาณ 75% ของส่วนของผู้ถือหุ้น สูงขึ้นเทียบกับระดับกว่า 2.0 พันล้านบาทในปี 2552 อย่างไรก็ตามความเสี่ยงทางด้านเครดิตยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก เนื่องจากความเสี่ยงได้ถูกลดทอนลงโดยการเรียกหลักทรัพย์เพิ่มและการบังคับขายหลักทรัพย์ สินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ยังอยู่ในระดับคงที่ 291 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 หรือ 5% ของสินเชื่อรวม ซึ่งสินเชื่อด้อยคุณภาพในส่วนนี้ได้มีการตั้งสำรองครบถ้วนแล้ว เงินทุนในการประกอบธุรกิจของ KEST มาจากส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่หนี้สินส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยคิดเป็นสัดส่วน 36% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ส่วนของผู้ถือหุ้นของ KEST อยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ลดลงจาก 4.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 เป็นผลจากการจ่ายเงินปันผล ส่วนของผู้ถือหุ้นของ KEST มีคุณภาพสูงซึ่งประกอบด้วยส่วนทุนเป็นส่วนใหญ่ อัตราส่วนเงินกองทุน (NCR) ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งที่ 133.12% ณ สิ้นเดือนมิถุนายนปี 2553 เทียบกับระดับขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ 7% สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทย อัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งถึงแม้จะลดลงอย่างมาก โดยมาอยู่ที่ 55.2% ณ สิ้นเดือนมิถุนายนปี 2553 เทียบกับ 73.6% ณ สิ้นปี 2552 โดยมีผลจากยอดลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3 วันทำการสุดท้ายในเดือนมิถุนายนปี 2553 เทียบกับปี 2552 ทำให้จำนวนลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงขึ้น

KEST เป็นบริษัทลูกของ KEH ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ KEH ปัจจุบันถือหุ้นเป็นสัดส่วน 55.9% ใน KEST ทั้งนี้ KEST มีเครือข่ายธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 12.5% ในครึ่งแรกปี 2553 ซึ่งสูงสุดในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไทย บริษัทให้บริการอื่นรวมถึงการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ การรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การให้บริการที่ปรึกษาธุรกิจ และการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ