นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม(PTTEP) คาดกำไรสุทธิในปี 53 จะสูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิแล้ว 2.1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทยังไม่มีการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการขายปิโตรแลียมจะสูงกว่าเป้าหมาย 2.54 แสนบาร์เรล/วัน ประกอบกับราคาขายทั้งราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ไตรมาส 3/53 คาดว่า รายได้จะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/53 เนื่องจากปริมาณการขายอยู่ในระดับเดียวกันที่ 2.63 แสนบาร์เรล/วัน แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้น แต่ราคาก๊าซปรับขึ้นช้ากว่า
"แม้ว่ากำไรจะดีกว่าที่คาด แต่คงไม่ดีที่สุดเท่าปี 2008 (พ.ศ.2551) เพราะช่วงนั้นราคาขึ้นไป 140 เหรียญ แต่ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่ดีของปตท.สผ."นายอนนต์ กล่าว
สำหรับการควบรวมกิจการ (M&A) คาดว่าจะสรุปได้อย่างน้อย 1 ดีลในปี 53 ซึ่งบริษัทมีความพร้อมด้านเงินลงทุนหลังจากออกหุ้นกู้วงเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีกระแสเงินสดประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีการเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนตลอดเวลา แต่ต้องดูดีลที่เหมาะสม โดยจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป และสามารถต่อยอดกับโครงการของบริษัทได้ในอนาคต
ขณะนี้ บริษัทยอมรับว่าบริษัทได้เข้าไปดูกิจการในประเทศนอกเหนือภูมิภาคเดิมที่บริษัทให้ความสำคัญ อาทิ แคนาดา แต่บริษัทยังคงเน้นการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและออสเตรเลีย
ส่วนโครงการมอนทาราในออสเตรเลีย บริษัทได้เริ่มซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ แม้ว่ายังไม่ได้รับจดหมายยืนยันผลการตรวจสอบจากรัฐบาลออสเตรเลีย โดยยังมั่นใจว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงครึ่งหลังปี 54 โดยคาดว่าจะมีปริมาณปิโตรเลียมเบื้องต้นจำนวน 3.5 หมื่นบาร์เรล/วัน
ส่วนกรณีที่รัฐบาลอินโดนีเซียเรียกร้องความเสียหายนั้น นายอนนต์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์ความเสียหายว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซี่งเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยในอนาคต