โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO)รับผลบวกจากการซ่อมแซมถนนที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เป็นส่วนเสริมคาดการณ์เดิมที่จะได้รับประโยชน์จากงบภาครัฐในปีงบประมาณ 54 ทั้งการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นเฟส 2 โครงการถนนของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท รวมทั้ง สร้างทางมอเตอร์เวย์อีกกว่า 10 เส้นทาง รวมงบประมาณนับ 2 แสนล้านบาท ในระยะ 6 ปีข้างหน้า
ขณะที่ตลาดต่างประเทศเองก็มีความต้องการยางมะตอยเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดการส่งออกให้เติบโตขึ้นอย่างมาก สอดคล้องกับแผนเพิ่มกำลังการผลิตโรงกลั่นในมาเลเซียในปีหน้า ทำให้โบรกเกอร์หลายรายปรับราคาเป้าหมายปีหน้าเพิ่มขึ้นมากจากในปีนี้ สะท้อนคาดการณ์ผลประกอบการที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 85.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 88.00 บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ซื้อ 90.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 90.00 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 87.94
นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อ"หุ้น TASCO จากมุมมองเชิงบวก โดยเฉพาะกำไรสุทธิของ TASCO ในปีนี้ถือว่าเติบโตสูงสุดเป็นประวิติการณ์ เนื่องจากความต้องการยางมะตอยเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เติบโต 60% ซึ่งปริมาณขายแบ่งเป็นในประเทศ 34% ส่วนต่างประเทศมากถึง 76%
ความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งยังเกิดขึ้นจากสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลต้องมีการซ่อมแซมพื้นถนน และเชื่อว่าจะเห็นเม็ดเงินจากทางการเร่งออกงบประมาณมาช่วยเหลือฉุกเฉินในการซ่อมแซมถนนหนทาง ซึ่งก็จะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้ยางมะตอยที่เพิ่มมากกว่าที่คาด โดยเฉพาะในไตรมาส 4/53
นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้วางงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท รวมกันเท่ากับ 6.8 หมื่นกว่าล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 45% และยังมีโครงการสร้างทางมอเตอร์เวย์อีก 10 สาย รวมระยะทาง 778 กิโลเมตร คิดเป็นงบประมาณทั้งหมด 158,310 ล้านบาทในระยะเวลา 6 ปีข้างหน้าที่เป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน
ขณะเดียวกันยังได้แรงสนับสนุนจากการที่ TASCO มีโรงกลั่นยางมะตอย ทำให้สามารถเน้นตลาดส่งออกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะประเทศจีน ออสเตรเลีย ซึ่งมีความต้องการใช้ยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน ก็จะส่งผลดีต่อกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งโรงกลั่นจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปีหน้าเป็น 7.2 ล้านบาร์เรล/ปี จาก 6.7 ล้านบาร์เรล/ปีในปีนี้
จากปัจจัยดังกล่าวโดยเฉพาะความต้องการใช้ยางมะตอยทั้งในและต่างประเทศ จะส่งผลต่อกำไรสุทธิในปีหน้าเติบโต 22% จากปีนี้ที่คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,147 ล้านบาท ถือว่าเป็นปีที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น เราจึงยังแนะนำซื้อลงทุนได้
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.โกลเบล็ก แนะนำ"ซื้อ"หุ้น TASCO โดยปรับราคาเป้าหมายปีหน้าเพิ่มเป็น 90 บาท จากเดิมปีนี้ที่ราคา 59 บาท เนื่องจากมองว่าความต้องการยางมะตอยในประเทศจะเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะหลังน้ำท่วม จะเห็นการใช้เพื่อซ่อมแซมถนนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ซึ่งมีหลายแห่งที่ได้รับผลกระทบ
เดิมความต้องการใช้ยางมะตอยมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะในไตรมาส 3/53 เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน ที่เกิดจากการลงทุนของภาครัฐบาลในประเทศต่างๆ สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นยางมะตอยที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น แนวโน้มผลประกอบการของ TASCO ใน H2/53 จะเติบโต และต่อเนื่องปี 54 ที่มองว่ายังคงแข็งแกร่ง
ส่วนในประเทศคงไปเห็นผลอย่างมีนัยในไตรมาส 4/53 ที่ความต้องการใช้ยางมะตอยกลับมาอีกครั้งจากเข้าสู่ปีงบประมาณปี 54 เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.53 เป็นต้นไป คาดว่าจะส่งผลดีจากโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น ถนนไร้ฝุ่นเฟส 2 รวมถึงโครงการก่อสร้างถนนเชื่มต่อเส้นทางต่างๆ
และจากปัจจัยดังกล่าวจึงมองว่าหุ้น TASCO ยังได้ประโยชน์ในระยะยาวจึงแนะนำซื้อลงทุนได้ มองแนวโน้มตั้งแต่ปี 53—55 จะเป็นวัฏจักรขาขึ้นของ TASCO รอบใหม่อีกครั้ง จากรอบเดิมปี 34-40 ที่เคยเป็นยุครุ่งเรืองในการสร้างถนน แต่รอบนี้นอกจากความต้องการใช้ยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นจากน้ำท่วมแล้ว ยังได้แรงหนุนจากการมีโรงกลั่นยางมะตอยเป็นของตัวเอง ซึ่งก็จะสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศได้ รวมทั้งงบลงทุนของภาครัฐในการสร้างถนน ไม่ว่าจะเป็นของกรมทางหลวง กรมทางชนบท เป็นต้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ คาดว่า คาดกำไรสุทธิ TASCO ในปี 53 และปี 54 เติบโตต่อเนื่อง เหตุจาก 1.ผลบวกของโครงการก่อสร้างของภาครัฐที่จะมีต่อเนื่องในปี 2554 ในการก่อสร้างถนนยางมะตอย 2.การก่อสร้างทางหลวงมอเตอร์เวย์มูลค่า 1.8 แสนล้านบาทระยะ 6 ปีข้างหน้า เป็นปัจจัยเพิ่ม Backlog ในระยะยาวให้ TASCO เกิดความมั่นคง
3.ผลประกอบการดีขึ้นเมื่อได้รับแรงหนุนจากโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซีย ซึ่งสามารถผลิตโดยใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นเป็น 74% และ 83% ช่วงปี 54-55 จากจุดคุ้มทุนที่อยู่เพียง 55% ดังนั้นการมีโรงกลั่นยางมะตอยเองที่รักษาความคงที่ของกำลังการผลิตได้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ TASCO ด้วย
ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER ต่ำราว 9-10 เท่า ขณะที่ ROE ในปี 53-54 อยู่สูงในระดับ 35-38%