นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.โกลว์ พลังงาน(GLOW)คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 4/53 จะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทประมาณ 100-150 ล้านบาท ส่งผลต่อกำไรสุทธิทั้งปี 53 ที่คาดไว้ 4.8 พันล้านบาท อาจจะเปลี่ยนแปลงบวกลบ 2-3% เนื่องจากบริษัทประเมินกำไรสุทธิบนสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 31-32 บาท/ดออลาร์
และหากในปีหน้าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการที่บริษัทคาดไว้จะมีกำไรราว 6 พันล้านบาทในปี 54
"ถ้าบาทอยู่ที่ 29 บาท/ดอลลาร์ ผลกระทบ(กำไร)ประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี แต่ตัวเลขเงินจ่ายเงินปันผลจะไม่ถูกกระทบ...ในไตรมาส 4 ปีนี้เราได้รับผลกระทบค่าเงินบาท"นายณัฐพรรษ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สัดส่วน 50% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนในแง่ของหนี้เป็นสกุลดอลลาร์ 50% ของมูลหนี้ทั้งหมดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งปี 54 การแข็งค่าของเงินบาทจะเป็นประโยชน์ทำให้ต้นทุนนำเข้าถ่านหินถูกลง และโรงไฟฟ้าถ่านหินมาบตาพุด(CFB-3)ที่มีกำลังการผลิต 115 เมกะวัตต์ ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดทำการในเดือน ต.ค.53 ปีหน้าก็จะเดินเครื่องเต็มปี
สำหรับกรณีของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน (GHECO-1) ซึ่ง GLOW ถือหุ้นอยู่ 65% เป็นหนึ่งใน 11 ประเภทกิจการที่เข้าข่ายเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและต้องยุติทำกิจกรรมนั้น นายณัฐพรรษ กล่าวว่า บริษัทรู้อยู่แล้วว่าโรงไฟฟ้า GHECO-1 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินต้องเข้าข่าย จึงได้เริ่มทำรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ(HIA) นอกเหนือจากการทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม(EIA)
ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการมาแล้วกว่าครึ่งทาง จะมีการทำประชาพิจารณ์ในเดือนธ.ค.นี้ คาดว่าจะส่งรายงาน HIA ให้กับภาครัฐในดือน ม.ค.54 ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มงานก่อสร้างคู่ขนานกันไป โดยความคืบหน้าการก่อสร้าง 70-75% เป็นไปตามแผนงาน และเชื่อว่างานก่อสร้างจะเสร็จตามกำหนด และเมื่อก่อสร้างเสร็จก็ต้องรอให้ภาครัฐออกใบอนุญาต คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน พ.ย. 54
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังหวั่นเกรงว่าองค์กรอิสระที่ดูแลเรื่อง HIA ยังเป็นองค์กรใหม่อาจจะตรวจอนุมัติไม่ทันตามตารางเวลาหรือไม่เกิน 120 วัน ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้โรงไฟฟ้าแห่งนี้ต้องเปิดล่าช้ากว่ากำหนด แต่ก็คงไม่กระทบกับรายได้มากนัก
"ความเสี่ยงในการขยายธุริจจะไม่เป็นไปตามตารางเวลาที่กำหนด แต่เราได้ขายไฟให้กับ กฟผ.25 ปี ถ้าช้าไป 2-3 เดือนก็ไม่ได้กระทบเยอะ และไม่มีภาระจ่ายหนี้ในปีแรก" นายณัฐพรรษ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 55 บริษัทจะมี 2 โครงการใหม่เดินเครื่องเต็มปี ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซเฟส 5 กำลังการผลิต 38 เมกะวัตต์ เริ่มผลิต ก.ย.54 และ โรงไฟฟ้า GHECO-1 กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ ตามแผนเริ่มผลิต พ.ย. 54
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยื่นประมูลโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก SPP 3 โครงการ รวมกำลังการผลิต 230 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ มาบตาพุด คาดว่าจะรับทราบผลการประมูลในต้นปี 54