นายไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานกรรมการ บมจ.ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง(UEC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คาดรายได้ปีนี้จะทำได้ราว 1,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1,370 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 53 มีรายได้ 433 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณงานลดลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่กำไรก็ยังประเมินได้ยาก เพราะได้รับแรงกดดันจากโครงการลงทุนที่ล่าช้าออกไปเช่นกัน
สำหรับงานในประเทศ ได้รับผลกระทบจากงานด้านพลังงานและปิโตรเคมีในประเทศล่าช้าออกไป ส่วนหนึ่งมาจากปัญหามาบตาพุด ขณะที่งานต่างประเทศที่เข้าประมูลก็ยังไม่ทราบผล เพราะโปรเจกต์ส่วนใหญ่ชะลอ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้สถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อ
"ปีนี้ยอดขาย 1,000 ล้านบาทลดลง ไม่ถึงปีที่แล้วแน่ เพราะธุรกิจก่อสร้างล่าช้า มาบตาพุดมีปัญหา งานต่างประเทศมีส่วนหนึ่ง แต่งานต่างประเทศโปรเจกต์ก็ดีเลย์ออกไป เพราะการเงินการทอง พอ crisis โปรเจกต์ไม่สามารถจะมี financing ทุกอย่างได้"นายไพบูลย์ กล่าว
อนึ่ง UEC ครึ่งแรกปี 53 กำไรสุทธิที่ 40 ล้านบาท ขณะที่ปี 52 ทั้งปีมีกำไรสุทธิ 207 ล้านบาท
นายไพบูลย์ กล่าวว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังโดยรวมน่าจะดีขึ้น งานขนาดใหญ่ยังพอมีอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่มากนัก โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและรอผลงานต่างประเทศหลายราย ส่วนรายได้ที่หายไปในปีนี้จะกลับคืนมาในปีหน้าได้หรือไม่ ยังไม่ทราบ คงต้องรอดูโครงการที่ล่าช้าออกไปว่าจะสามารถดำเนินการได้เมื่อใด
ทั้งนี้ งานต่างประเทศที่บริษัทยื่นประมูลไปมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ยังรอผลอยู่หลังจากส่งข้อมูลไปแล้ว ขณะนี้บางส่วนอยู่ระหว่างการเจรจากัน ซึ่งมีงานบางส่วนที่บริษัทค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้รับงาน แต่คาดว่ากว่าจะรู้ผลหรือได้รับสัญญาใดสัญญาหนึ่งจนกระทั่งเป็นรายได้เข้ามาคงเป็นปี 54 โดยงานต่างประเทศยังเน้นเวียดนามและตะวันออกกลางในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
"6 พันล้านบาท มียื่นประมูลไปแล้ว ตอบไม่ได้ว่าจะได้กี่สัญญา เพราะงานนอกตอนนี้ลำบาก โปรเจกต์ใหญ่ไม่สามารถหาแหล่งเงิน support ได้จึงต้องเลื่อนออกไป"นายไพบูลย์ กล่าว
ขณะที่งานภายในประเทศก็ยืดเวลาออกไป โดยงานในพื้นที่มาบตาพุดมีบางส่วนที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ส่วนโปรเจกต์ที่พอจะทำได้ในอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีก็คาดว่าจะกลับมาเริ่มก่อสร้างได้อีกทีก็คาดว่าจะมีงานเข้ามาถึงบริษัทในปีหน้า หากได้งานดังกล่าวเข้ามาก็จะรับรู้รายได้ปีหน้าเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่างานในมาบตาพุดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โครงการที่มีแผนอยู่แล้วก็น่าจะดำเนินการได้
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงกรณีการแข็งค่าของเงินบาทว่า บาทแข็งค่าเหนือจากความคาดหมาย แม้ว่าบริษัทจะมีการทำประกันความเสี่ยงไว้แล้วทั้งด้านซื้อและด้านขาย แต่ก็คงจะต้องเจรจาเรื่องราคากันใหม่ แต่ภาพรวมคงไม่มีผลกระทบมากนัก
"ยังปวดหัวอยู่ทุกอย่างต้องคุยกันใหม่ 29 บาท ไม่มีใครเคยคิด ไม่คาดฝันเลย แต่ส่วนใหญ่เราจะ hedge อยู่ทั้งซื้อทั้งขาย ถ้าเป็นเงินตราต่างประเทศจะทำ forward ไว้พยายามที่จะ hedge ในส่วนที่เป็นเงินตราต่างประเทศทั้งหมด บาทแข็งก็แค่ซื้อของได้ถูกลง ไม่เกี่ยวกับการยื่นประมูลที่ต้องแข่งขันราคา"นายไพบูลย์ กล่าว