ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/53 โดยธนาคารและบริษัทในเครือมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 6,497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% และ 4.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/52 และไตรมาส 2/53 ตามลำดับ
ขณะที่ในแง่ของกำไรสุทธิ มีจำนวน 2,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% และ 9.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/52 และไตรมาส 2/53 ตามลำดับ และกำไรสุทธิ(งวด 9 เดือน)จำนวน 6,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนสินเชื่อที่มีคุณภาพ เพิ่มขึ้น 15,286 ล้านบาท จากยอด ณ สิ้นปี 52, เงินฝาก ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10,468 ล้านบาท จากยอด ณ สิ้นปี 52
ทางด้านของคุณภาพสินทรัพย์ สัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นจาก 74% ณ สิ้นปี 52 มาอยู่ที่ระดับ 85% ยอดหนี้ผิดนัดชำระ สัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันต่อสินเชื่อรวมลดลง 15% จากยอด ณ สิ้นปี 52
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ลดลงจาก 52,080 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.52 มาอยู่ที่ระดับ 44,727 ล้านบาท จากความสำเร็จในการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 5,157 ล้านบาท ในเดือน ก.ย.53
นายมาร์ค อาร์โนลด์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY กล่าวว่า ธนาคารประสบความสำเร็จในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา เรามั่นใจว่าทั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี 53 และในปี 54 ธนาคารและบริษัทในเครือจะสามารถเร่งสร้างความเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป
"เราได้สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจจากความสำเร็จในการควบรวมธุรกิจที่ได้เข้าซื้อรวมทั้งหมด 4 ครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพิ่มความแข็งแกร่งของฐานเงินกองทุนของธนาคารกรุงศรีอยุธยาสู่ระดับ 17.9 % ลดจำนวนสินเชื่อด้อยคุณภาพลงมาอยู่ที่ระดับ 44,727 ล้านบาท และจากการดำเนินงานที่มุ่งให้เกิดประโยชน์ด้วยความระมัดระวัง ส่งผลให้ธนาคารมียอดลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระในระดับต่ำในทุกธุรกิจด้วย"
ณ วันที่ 30 ก.ย.53 ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 803,472 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อ 611,441 ล้านบาทและเงินฝาก 530,983 ล้านบาท ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 17.9% เป็นเงินกองทุนขั้นที่1 (Tier 1) 12.2%